ขอแนะนำโปรแกรมที่ใช้สำหรับตัดแต่งเพลงที่มีประสิทธิภาพการทำงานขั้นเทพกับ Adobe Audition CS6 เหมาะกับการใช้งานร่วมกับการสร้างวีดีโอด้วยโปรแกรม Adobe Premiere Pro CS6
พื้นที่การใช้งาน Workspace
ก็คล้ายกับโปรแกรมทั่วไปในกลุ่มของ Adobe cs6 ที่สามารถคลิก Panel ต่างๆ แล้วลากไปไว้ที่ใหนก็ได้ตามที่ต้องการ และก็สามารถทำการ Reset หรือ สร้างใหม่ของเราเองโดยการเลือก New หรือ Delete Panel ได้ แต่วิธีการลากนั้นจะมีสองแบบ คือ คลิกแล้วลาก หรือ Ctrl + คลิกแล้วลาก ซึ่งแบบหลังนี้จะเห็นกรอบของ Panel ที่ลากออกต่างหาก เมื่อต้องการปรับ Panel ต่างๆ เข้าที่เดิมของแต่ละ Work space ให้กด Reset Work space จากแถบ Work space
การกำหนด Input and Output
ทำได้โดยการเลือก Edit - Preference - Audio Hardware หรือกดคีย์ลัด Ctrl + Shift + K แล้วเลือก Audio Hardware แต่ปกติไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะโปรแกรมจะตรวจสอบระบบคอมพิวเตอร์ที่โปรแกรมติดตั้งอยู่ เช่น Sound Card และทำการกำหนดให้ตามอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์นั้น การทำเช่นนี้ได้ต้องทำเครื่องหมายเลือกที่ Use Machine Specific Device Default
การกำหนด Preference ที่จำเป็น จะมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่
General:
Zoom Factor (Time) = สามารถตั้งเปอร์เซ็นต์การซูม มากน้อยได้ และมีปุ่ม Reset All Warning Dialog ที่ใช้สำหรับคืนการตั้งค่าแบบ Default สำหรับส่วนของ Warning ด้วย
Appearance:
Color = การตั้งค่าสีของ Color Scheme ซึ่งมีทั้ง Preset ที่โปรแกรมได้สร้างไว้ และยังสามารถกำหนดสีได้เอง โดยการคลิกที่ช่องสีในส่วนของ Color และเลือกจากหน้าต่าง Color Picker สำหรับการปรับความสว่างของ Screen สามารถตั้งค่าได้จากการปรับแถบ Brightness
Playback:
ถ้าเลือก Auto Scroll during playback and recording ขณะที่กำลัง Play จะทำการ Scroll ไปตามขนาดความยาวของ Sound Wave ส่วนถ้าเลือกเมนูย่อย Center auto-scrolling...หมายถึงก้าน Playhead จะนิ่งอยู่ตรงกลาง แล้ว Waveform จะเลื่อนไปเรื่อยๆ
bn 7 |
การนำเข้าไฟล์เสียง Import and Manage Media
ทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เมนู File - Open หรือ คลิกที่ไอคอน Open File หรือ Import File ซึ่งอยู่ใน File Panel ก็ได้ หรือจะใช้วิธีคลิกขวาบนพื้นที่ในส่วนของ File Panel แล้วเลือก Open หรือ Import รวมทั้งยังสามารถคลิกลาก Audio File โดยตรงจาก Hard Disk มาวางในส่วนของ File Panel ได้อีกด้วย สามารถคลิกเลือกครั้งละหลาย Audio File แล้วลากเข้ามาทีเดียวก็ได้ Audio File จะเรียงไปตาม Track ให้โดยอัตโนมัติ
การแสดง Waveform ในส่วนของ Editor Panel
เริ่มแรกให้เลือกเพลงจาก File Panel แล้วดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อเพลงนั้น Editor Panel จะเปิดขึ้นพร้อมกับแสดง Waveform ถ้าต้องการเปิด Waveform สำหรับเพลงอื่น สามารถทำตามขั้นตอนเดิม หรือจะคลิกที่ Editor Panel แล้วเลือกชื่อเพลงจากในส่วนนี้ก็ได้
การเล่นเพลง Play Audio Sound ทำได้สองแบบ
หนึ่ง คลิกที่เพลงนั้นแล้วกดปุ่ม Play เพลงก็จะเล่นแต่ไม่แสดง Waveform ในส่วนของ Editor Panel ให้เห็น
สอง ดับเบิ้ลที่ชื่อเพลง Editor Panel จะเปิดขึ้นพร้อมกับแสดง Waveform พร้อมกับเล่นเพลง
Auto Play ปุ่มนี้จะอยู่ลำดับที่สามจากรูป ถ้าคลิกเลือกปุ่มนี้แล้วนำไปคลิกที่เพลงใดก็ตาม เพลงนั้นจะเปิดเล่นขึ้นมาทันที
สามารถใช้เมนู File - Close หรือ เลือกปิดได้จากส่วนของ File Panel โดยการคลิกขวาที่ชื่อเพลงนั้นแล้วเลือก Close หรือเลือกจาก Editor Panel แล้วเลือก Close or Close All ก็ได้เช่นกัน
การลบเพลง
คลิกเลือกเพลงที่จะลบออกจากส่วนของ File Panel แล้วกดปุ่ม Delete หรือ คลิกแล้วมากดปุ่มรูปถังบนแถบของ File Panel ก็ได้
เทคนิค คลิกขวาที่ปุ่ม Play ในส่วนของ Editor Panel สามารถกำหนดเงื่อนไขพิเศษเพิ่มได้สองรูปแบบ
การโหลดเพลงจากแผ่นเข้าสู่โปรแกรม Extract Audio from a CD
เมนู File - Extract Audio from CD ทำการเลือกเพลงที่ต้องการ หรือถ้าเลือกทั้งหมดก็ปล่อยตามค่า Default ของโปรแกรมที่จะทำการเลือก Audio ให้แล้วทุกรายการ แต่ถ้าไม่ต้องการก็สามารถคลิกปุ่ม Toggle All ซึ่งใช้สำหรับคลิกเลือกรายการเพลงทั้งหมด หรือยกเลิกการเลือกทั้งหมด เพื่อจะได้คลิกเลือกรายการเอง สำหรับในส่วนของ Speed ในการโหลด ถ้าต้องการคุณภาพสูงมาก ให้เลือก Speed 1x (176 kbps) แต่ก็จะใช้เวลาในการโหลดนานมาก ถ้าต้องการความเร็ว ให้เลือก Maximum Speed สามารถกดปุ่ม Play ที่ช่อง Track ของแต่ละรายการเพื่อฟังเพลงก่อนที่จะทำการโหลดได้ด้วย ขณะโหลดสามารถเลือกเล่นเพลงที่โหลดเสร็จได้ รายการ Audio ที่โหลดเข้ามาจะแสดงในส่วนของ File Panel
การบันทึกเพลงที่โหลดจาก CD เพื่อเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์
เพลงต่างๆ ที่โหลดเข้ามาแล้วยังไม่ได้ทำการบันทึกจะมีเครื่องหมายดอกจันทร์กำกับหลังชื่อเพลง และจะถูกเก็บไว้ใน Temp File เท่านั้น เมื่อต้องการบันทึกให้เลือกโดยการคลิกแต่ละเพลงที่ต้องการแล้วเลือก File - Save หรือถ้าต้องการทั้งหมด ให้เลือก File - Save All จะมีหน้าต่าง Save As แสดงขึ้นมาเพื่อให้กำหนดค่าต่างๆ การ Save จะค่อยๆ Save ไปทีละเพลงเมื่อรายชื่อ Audio นั้นแสดงขึ้นก็ให้กดปุ่ม OK ไปเรื่อยๆ จนครบ
การโหลดวีดีโอ Importing Video Files
โปรแกรม Audition นอกจากใช้สำหรับปรับแต่ง Audio File แล้วยังสามารถที่จะโหลด Video File ได้ด้วย แต่การทำงานกับ Video File นั้นไม่ได้ใช้สำหรับการปรับแต่ง หรือ สร้างวีดีโอ เป็นเพียงใช้สำหรับประกอบการปรับแต่ง Audio File เท่านั้น ส่วนการโหลดนั้นก็ทำวิธีเดียวกับการโหลด Audio File
เมื่อทำการโหลด Video File จะได้ ทั้ง Video File และ Audio File ซึ่งจะแสดงให้เห็นในส่วนของ File Panel จะมีเครื่องหมายดอกจันทร์ (Asterisk) แสดงที่ Audio File เพื่อแสดงว่ายังไม่ได้ทำการบันทึก และเมื่อดับเบิ้ลคลิกที่ Video File เพื่อที่จะเปิด Video File จะมีหน้าต่างเตือนให้ทำการสร้าง Multitrack Session ก่อนถึงจะทำการเปิดดูได้
การสร้าง Multitrack Session
เมนู File - New - Multitrack Session จะได้หน้าต่าง New Multitrack Session ให้ตั้งชื่อว่า Video อย่างอื่นไม่ต้องเปลี่ยนค่าอะไร แล้วกด OK ก็จะได้ Video Track ทั้งหมด 6 Tracks แสดงขึ้นมาในส่วนของ Editor Panel พร้อมกับแถบชื่อ video.sesx ที่เราตั้งไว้ก็แสดงขึ้นมาใน File Panel ด้วย จากนั้นให้ทำการคลิก Audio and Video Files ที่โหลดมาทั้งคู่ แล้วลากเข้ามาที่ Video Track ในส่วนของ Editor Panel พร้อมกัน
Folder Location = Drive ทีจะเก็บ
Template = เลือกตามที่ต้องการ เช่น postcast แต่ละแบบจะมี track ที่ไม่เหมือนกัน
จากภาพด้านบน หลังจากที่คลิกลากเข้ามาแล้ว โปรแกรมจะสร้าง Video Reference Track เพิ่มขึ้นมาให้ จากนั้นให้ปรับแต่ง Workspace เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานเกี่ยวกับ Video โดยให้เปลี่ยนเป็น Edit Audio to Video Workspace เมื่อกด Play ในส่วนของ Video Panel ก็จะเห็นวีดีโอแสดง
การตั้งชื่อ Track
ชื่อในแต่ละ Track สามารถคลิกแล้วเปลี่ยนชื่อได้ และยังสามารถคลิกที่มุมบนซ้ายของ Track เพื่อลากเปลี่ยนตำแหน่งไปยังลำดับที่ต้องการได้
Marker panel
ใช้สำหรับ Mark ตำแหน่งที่ Waveform เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ว่าที่จุดนี้ต้องการแก้ไข หรือว่าต้องทำอะไรบางอย่าง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาตำแหน่งให้เสียเวลา การสร้าง Marker โดยการกดที่ปุ่ม Add Cue Maker ใน Marker Panel (ไอคอนแรกบน Panel) หรือใช้คีย์ลัด M ก็ได้ ถ้าต้องการ Merge Marker ให้คลิกที่แถบของ Marker ที่ต้องการ Merge แล้วกดปุ่ม Merge Select Marker สามารถเพิ่มหรือลดตำแหน่งโดยการลากที่ Start หรือ End และ อื่นใน Panel เพื่อกำหนดได้ สามารถทำการเพิ่ม หรือ ลบได้
Metronome
คือการสร้างจังหวะ โดยการคลิกที่ไอคอน Metronome แล้วกดปุ่ม Play จะได้ยินเสียงจังหวะ ถ้าต้องการเปลี่ยนจังหวะทำโดยเมนู Mulitrack - Metronome - Chnage Sound Type เลือกรูปแบบใหม่ ถ้าต้องการเปลี่ยนความเร็วให้ปรับที่ Time Display ในส่วนของ Tempo ใน Preference หรือจะปรับจากเมนู Window แล้วคลิกลูกศรที่แถบ Time - Time Display ก็ได้
การบันทึกเสียง Recording Audio Single Track
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ตั้งค่า Default Input ใน Preference Audio Hardward ให้ตรงกับอุปกรณ์ที่ใช้ก่อน จากนั้นทำการบันทึกโดยใช้เมนู File - New - Audio File หน้าต่าง New Audio File แสดงขึ้นมาเพื่อให้ทำการตั้งชื่อ และรายละเอียดอื่นๆ หลักสำคัญจะต้องตั้งชื่อ แต่ส่วนอื่นปล่อยตามค่า Default ได้ เมื่อพร้อมที่จะบันทึกเสียง ให้กดปุ่มสีแดงก่อนเพื่อบันทึก และถ้าต้องการหยุดก็กดปุ่ม Stop หรือใช้คีย์ลัดโดยการกด Spacebar ถ้ากด Shift + Spacebar เป็นการเริ่ม หรือหยุดปุ่มบันทึก
- การลบเสียงที่ยังไม่บันทึกเป็นไฟล์ ขณะที่ทำการบันทึกแล้วต้องการแก้ไข ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการบันทึกเสียง ทำได้โดยใช้เมนู Edit - Select - Select All แล้วกดปุ่ม Delete
- การเพิ่มเสียงบันทึกในไฟล์เดิม เมื่อต้องการบันทึกเสียงเพิ่มเติม ให้เลื่อน Playhead ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม Record
การ Save File
หลังจากทีททำการบันทึกเสียง แต่ยังไม่มีการ Save File ชื่อไฟล์ที่เราสร้างเพื่อบันทึกจะมีเครื่องหมาย * ดอกจันทร์แสดงให้เห็น เพื่อเป็นการช่วยเตือนว่าไฟล์นี้ยังไม่ได้มีการ Save File และเมื่อพร้อมที่จะทำการ Save File ให้ใช้เมนู File - Save หรือ Save As
การสร้าง Multitrack Audio Track Session
โดยเมนู File - New - Multitrack Session จะได้หน้าต่าง New Multitrack Session ให้ตั้งชื่อที่ต้องการ ในส่วนนี้สามารถใช้วิธีเลือกไฟล์แล้วลากมาที่ Track ที่ต้องการ ส่วน Track อื่นถ้าต้องการทำการบันทึกเสียงก็ให้กดปุ่ม R ที่ Track นั้น แล้วกดบันทึก
การเลื่อน Track สามารถทำการเลื่อนเสียงที่นำมาใส่ หรือเสียงที่บันทึกได้ โดยการคลิกที่รูป Waveform สีเขียวที่อยู่หน้าชื่อ Track นั้น แล้วลากเลื่อนไปยังตำแหน่งต่างๆ ได้ และยังสามารถลากเลื่อนข้าม Track ได้อีกด้วย
การเลือกเพลงใน Multitrack Mode
กรณีที่อยู่ในโหมด Multitrack แล้วต้องการดูเฉพาะ Track นั้นอันเดียว ให้ดับเบิ้ลคลิกชื่อ Audio ในส่วนของ File Panel ก็จะแสดงขึ้นมาอันเดียว เมื่อต้องการกลับไปยัง Multitrack ก็ดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อของไฟล์ Multitrack อีกครั้ง
นามสกุลของ Multitrack Folder
เมื่อทำการ Save File จะประกอบด้วยไฟล์ ชื่อที่เราตั้ง + นามสกุล .sesx ตัวนี้เป็นแค่ที่เก็บไฟล์ Multitrack เท่่านั้น เมื่อทำการคลิกที่โฟลเดอร์ก็จะเห็นไฟล์นามสกุล ชื่อ.pkf ไฟล์นี้เป็นไฟล์ที่เก็บความจำสำหรับวิธีที่ไฟล์เสียงนี้แสดงบนหน้าสกรีนอย่างไรเท่านั้น เพื่อช่วยให้การเปิดไฟล์ได้เร็วขึ้น สามารถลบได้ และตั้งค่าให้ครั้งต่อไปไม่ต้องสร้างไฟล์นี้อีก โดยการไม่เลือกที่ Save Peak File ใน Preference Media and Disk Cache และอีกไฟล์ ชื่อ.wav ที่ได้สร้างไว้ซึ่งเป็นไฟล์หลัก
การใช้ปุ่ม Scroll บนเม้าส์ ถ้านำไป Scroll ในส่วนของ Track จะเป็นการหดพื่้นที่ แต่ถ้าไปว่างด้านขวาจะเป็นการเลือนขึ้นลงตามปกติ
การปรับความกว้าง หรือ ความสูงของ Waveform (Ampitude / (db) )
- แถบสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่แสดงอยู่ในส่วนของ Place Holder ใช้สำหรับปรับ Amplitude สามารถใช้เม้าส์ชี้แล้วเลื่อน หรือคลิกที่ตัวเลขแล้วพิมพ์ตัวเลขโดยตรงก็ได้ หลังจากมีการปรับค่า พื้นที่ในส่วนของ Place Holder จะเป็นสีขาว ให้คลิกพื้นที่ในส่วนของ Place Holder อีกครั้งก็จะหายไป
- สามารถทำการปรับเฉพาะส่วนของ Audio File ได้ด้วย โดยการคลิกที่ Waveform ในส่วนของ Place Holder โดยตรงแล้วลากเพื่อกำหนดส่วนของ Waveform จากนั้นใช้เครื่องมือนี้ในการปรับเฉพาะส่วนนี้เพื่อปรับขนาด Ampitude เฉพาะส่วนนั้น
- ถ้าต้องการปักหมุดในส่วนของ Waveforme ที่เลือกเฉพาะส่วน ให้ทำการเลือก Waveform ก่อน แล้วไปคลิกที่ไอคอนหมุดที่อยู่บนแถบเครื่องมือนี้ เมื่อกด Pin อีกครั้งจะเป็นการปักหมุดที่ส่วนนั้น
การทำ Fading Clip:
ทำได้โดยการลากปุ่มสี่เหลี่ยม ซึ่งมีอยู่สองด้านในส่วนของ Place Holder ด้านซ้าย Fade In และ ด้านขวา Fade Out โดยให้ลากมาทาบส่วนของ Wave ทั้งนี้ยังสามารถกำหนดค่า Value โดยการลากขึ้น หรือ ลง เพื่อจะเพิ่ม และ ลดค่า Value แล้วดูตัวเลขที่แสดงให้เห็นตามต้องการ และยังสามารถกำหนดรูปแบบของเส้น Fade ได้ที่การตั้งค่า Preference ของโปรแกรม โดยกำหนดจาก General เลือกคลิกที่ Default Fade Curve Type ซึ่งมีด้วยกันสองแบบคือ Linear และ Cosine
การทำ Coping, Cutting, and Pasting
เลือก Wave ส่วนที่ต้องการ แล้วเลือกใช้เมนู Edit - Copy / Cut ตามแต่ต้องการ จากนั้นไปคลิกในส่วนที่ต้องการวางในไฟล์เดียวกัน แล้วเลือก Edit - Paste
วิธีการใช้ Clipboard หลายส่วน
การคัดลอกครั้งแรก จะนำไปเก็บไว้ที่ Clipboard จนกว่าจะมีการ Paste ข้อมูลใน Clipboard นั้นก็จะหายไปเพื่อรอรับข้อมูลใหม่ แต่ถ้าการคัดลอกต้องการทำครั้งละหลายส่วนในคราวเดียวกัน นั่นหมายถึงต้องการใช้ Clipboard หลายส่วนในการเก็บข้อมุล (ใช้ได้ทั้งหมด 5 Clipboard) ก็ทำได้เช่นกันโดยก่อนทำการคัดลอกครั้งที่สอง ให้เลือก Clipboard ที่จะเก็บก่อน โดยการใช้เมนู Edit - Set Current Clipboard แล้วจึงทำการคัดลอก หรือ ตัด การคัดลอกควรทำตามลำดับที่เราต้องการวางด้วย ไม่นั้นจะไม่สามารถเลือก Clipboard ที่ต้องการวางได้ถูกลำดับ
การวาง Paste
หลังจากทำการคัดลอกโดยวิธีด้านบนแล้ว ให้เลือก Clipboard ทีเราเก็บไว้แล้วจะนำมาวาง จากนั้นเลือกวาง โดย Edit - Paste หลังจากการวางครั้งแรก ให้เลือก ปุ่ม Move Playhead to Next หมายถึงให้ Playhead ไปอยู่ในตำแหน่งปลายสุดของส่วนแรกที่วาง (ปุ่มลูกศรชี้ทางขวาที่มีเส้นขีดแนวตั้งด้านปลายลูกศร)
การเปิดพื้นที่ใหม่พร้อมกับการวาง
หลังจากที่มีการคัดลอก และต้องการที่จะวาง แต่การวางนี้ต้องการวางในไฟล์ใหม่ที่จะมีเฉพาะส่วนนี้ สามารถทำได้โดยการใช้เมนู Edit - Copy to New หรือ Edit - Paste to New การทำเช่นนี้เป็นการสั่งให้ส่วนที่ทำการคัดลอกให้ไปวางไว้ใน File Audio ใหม่ โปรแกรมจะสร้างไฟล์ชื่อ Untitled ขึ้นมาให้ และถ้าต้องการบันทึกเก็บไว้ ก็เลือก File - Save แล้วตั้งชื่อไฟล์ตามที่ต้องการ
การ Crop Waveform
คือการตัดให้เหลือ Audio เฉพาะส่วนที่เราต้องการเท่านัน ทำได้โดยให้ลากคลุม Waveform ในส่วนที่ต้องการ จากนั้นใช้เมนู Edit - Crop
การ Delete
หลังจากเลือกส่วนที่ต้องการลบทิ้งแล้ว ใช้เมนู Edit - Delete หรือกดปุ่ม Delete โดยตรงก็ได้
การทำ Undo / Redo
เหมือนกับโปรแกรมทั่วไปที่มีขั้นตอนให้เลือกเพื่อที่จะทำการ Undo / Redo โดยการใช้เมนู Edit - Undo / Redo หรือ ใช้กดปุ่ม Ctrl Z ( Undo) หรือ Ctrl + Shift + Z (Redo) ส่วน Edit - Repeat Last Command + (การกระทำก่อนหน้า) เป็นการสั่งให้ทำตามคำสั่งเดิมซ้ำอีกครั้ง Crtl + R
การย้อนกลับคำสั่งโดยการใช้ History panel
โปรแกรมนี้ก็มี History Panel เช่นกัน ในส่วนนี้เป็นที่เก็บขั้นตอนการทำงาน หรือ คำสั่งต่างๆ ซึ่งสามารถใช้ในการกลับไปยังขั้นตอนก่อนหน้าได้โดยการคลิกที่ขั้นตอนนั้นๆ เพื่อย้อนขึ้นในแต่ละขั้นได้ แต่ถ้าต้องการลบขั้นตอนใน History Panel ให้คลิกที่ส่วนนั้นแล้วมาคลิกที่รูปถัง หรือกดปุ่ม Delete ถ้าต้องการเคลีย History ให้กดปุ่มลูกศรบนแถบ History Panel แล้วเลือก Clear History
การใส่ Silence
ถ้าต้องการให้ Audio ส่วนนั้นไม่มีเสียง สามารถทำการปิดเสียงเฉพาะส่วนนั้นได้โดยการทำ Silence โดยการใช้เมนู Edit - Insert - Silence จากนั้นใส่เวลาที่ต้องการ Silence หรือจะใช้วิธีลากคลุก Waveform ที่ส่วนนั้นแล้วจึงมีใส่คำสั่งก็ได้เช่นกัน
การใช้เครื่องมือในการตัดเสียงรบกวนด้วย Selection Tool
ก่อนทำควรขยาย Spectral ให้กว้างมากๆ เมื่อคลิกเลือกไอคอน Show Spectral Frequency ที่อยู่ด้านบนของแถบเครื่องมือเครื่องมือ ลักษณะการใช้เครื่องมือเหมือนกับการทำใน Selection ในโปรแกรม Photoshop เครื่องมือ Selection มีด้วยกัน 5 รูปแบบ
เมื่อสร้าง Selection คลุมในส่วนของเสียงรบกวนที่ต้องการตัดออกแล้ว สามารถลากปรับขนาด หรือเลื่อนย้ายที่ได้ จากนั้นให้กดปุ่ม Delete ส่วนที่เป็นเสียงรบกวน หรือเสียงที่ไม่ต้องการนั้นก็จะถูกแก้ไขโดยการลบออกไปจาก Audio File ทั้งนี้ต้องทำเฉพาะในส่วนของ Spectral เท่านั้น
สำหรับ Spot Healing Brush จะเป็นการทาเพื่อรักษาในส่วนที่บกพร่องไม่ใช่ตัดออก ถ้าเป็น Brush Tool สามารถกำหนดขนาดและ Opacity ได้ (opacity เหมือนกับความรุนแรงในการเกิดผล) ถ้าเป็นจุดบกพร่องเล็กน้อย ใช้ Spot Healing จะดีกว่า
การตัดเสียงสภาพแวดล้อม Removing Background Noise
การบันทึกเสียง เช่น การสัมภาษณ์ มักจะมีเสียงสภาพแวดล้อมรบกวนเข้ามาใน Audio File ด้วย วิธีการไขทำได้โดยการตัดเสียงนั้นออกไป แต่ก่อนอื่นให้ทำการคลิกเลือกในส่่วนที่คิดว่าเป็นเสียง Background จากนั้นใช้เมนู Effect - Noise Reduction / Restoration - Capture Noise Print จะมีหน้าต่างแจ้งว่า ส่วนนี้จะถูกเก็บเป็น Noise Print กด OK
หลังจากทำขั้นตอนแรกในการ Capture Noise แล้ว ให้เลือก Effect - Noise Reduction / Restoration - Noise Reduction (process) จะมีหน้าต่าง Effect - Noise Reduction แสดงขึ้นมา ก่อนทำการปรับสิ่งต่างๆ ให้แน่ใจว่าปุ่ม Power บนหน้าต่างนี้เปิดอยู่ (ปุ่มด้านล่างซ้าย เมื่อเปิดจะแสดงเป็นแสงสีเขียว) เมื่อตั้งค่าการปรับเรียบร้อยแล้ว มีการทดสอบได้หลายวิธีว่าเสียง Background นั้นได้หายไปหรือยัง โดยให้เลื่อน Playhead ไปยังจุดเริ่มต้นแล้วลอง Play หรือให้ทำการสลับการเปิดและปิดปุ่ม Power บนหน้าต่างนี้แล้วลองเปิด Play ถ้ายังไม่หายให้ทำการปรับโดยใช้แถบ Noise Reduction และ Reduce By หรือจะคลิกที่เส้นสีม่วง และลากกำหนดจุดเองก็ได้ ถ้าเสียง Background หายไปหมดแล้วให้กดปุ่ม Select Entire File และปุ่ม Apply จากนั้นก็กดปุ่ม Close เพื่อปิดหน้าต่างนี้
การใส่ Effect
ทำได้โดยการเลือกเมนู Effect แล้วเลือก Effect ที่ต้องการ ซึ่งจะใช้ได้ตั้งแต่ในส่วนของ Ampitude and Compression ไปถึง VST3 (Effect แต่ละแบบจะมี Preset สร้างไว้ให้) หรือ จะใช้ใส่ Effect โดยสร้างขึ้นจาก Effect Rack Panel โดยคลิกที่เครื่องหมายลูกศรซึ่งอยู่ในส่วนท้ายแล้วเลือก Effect จากนั้นให้กำหนด Input and Output เพื่อใส่ Effect เข้าไปใน Audio File เมื่อได้ตามต้องการแล้ว ให้เลือกกำหนด เป็น Selection Only หรือ Entire File ในส่วนของ Process Tab แล้วกดปุ่ม Apply จากนั้นให้ Save File (สามารถใส่ Effect โดยการกำหนดช่วง หรือถ้าไม่กำหนดก็จะเป็นใส่ Effect ให้กับทั้ง Audio File)
การ Recoding and Importing Audio ใน Multitrack
ขั้นแรกของการ Record ให้คลิกที่แถบ Inputs/Outputs ที่มีเครื่องหมายลูกศรชี้สลับกันสองด้าน จากนั้นมาคลิกที่แถบ Input เพื่อเลือกเป็น Stereo - Default จากนั้นคลิกเลือกปุ่ม R แล้วกดบันทึกไอคอนบันทึกซึ่งอยู่ที่แถบด้านล่างของ Place Holder
- ถ้าคลิกไอคอน M = ปิดเสียง (Mute)
- ถ้าคลิกไอคอน S = ใช้สำหรับควบคุมการเปิด หรือ ปิด เสียงของแต่ละ Track (ปุ่ม I จะใช้ได้เมื่อคลิกปุ่ม R เป็นการใช้ร่วมกัน)
ปุ่ม fx = เมื่อคลิกที่ปุ่มนี้แล้ง ให้คลิกที่ลูกศรในแต่ละแถบของ fx เพื่อให้แสดง Effect ในส่วนของ Track รายการต่างๆ เหมือนกับใน Effect Rack
ปุ่ม Sends = สำหรับการปรับตั้งเสียงเพื่อใช้กับ Headphone
ปุ่ม EQ = เมื่อคลิกที่ไอคอนรูปดินสอ หน้าต่าง Track EQ จะแสดงขึ้นมา เพื่อทำการกำหนดจุด EQ โดยสามารถคลิกที่แต่ละจุดที่มีตัวเลขกำกับเพื่อปรับแต่งระดับ EQ ได้
การ Trim Audio Clib
ทำโดยการคลิกที่ส่วนต้น หรือ ปลายของ Audio Track จะมีเครื่องหมายแสดงขึ้นมา ให้คลิกแล้วลาก และยังสามารถคลิกเลื่อนที่ตัว Wave ไปมาได้อีกด้วย เมื่อทำการ trim แล้ว ต้องการเลื่อน Wave ให้ใช้เครื่องมือ Slip Tool ( Y ) คลิกลากในส่วนของตัว Wave
การลบ Wave โดยใช้เครื่องมือ Razor tool
เครื่องมือ Razor Tool ประกอบด้วย Razor Selected Clips Tool และ Razor All Clips Tool
วิธีใช้ เมื่อเลือกเครื่องมือแล้วให้ทำการคลิกจุดเริ่มต้นที่ต้องการ Razor แล้วไปคลิกที่จุดสุดท้าย แต่ต้องระวังอย่างไปคลิกที่เส้นตรงกลาง (volume line) ซึ่งเมื่อนำเม้าส์ไปยังเส้นจะเห็นเครื่องหมาย + ต้องทำการคลิกในส่วนที่ตรงกับพื้นที่ของ Wave เท่านั้น จากนั้นให้เปลี่ยนเป็น Move tool (เครื่องหมายหัวลูกศรที่อยู่กอ่น Razor Tool จากนั้นคลิกที่หัวของส่วนที่ต้องการ Razor แล้วกด Delete เมื่อ Delete แล้วเราต้องเลื่อน Wave สองส่วนให้มารวมกัน โดยการคลิกขวาที่แถบ Timeline แล้วเลือก Sanpping - Enbled ให้แน่ใจว่า Enabled ได้ทำเครื่องหมายเลือกไว้ หรือสามารถกดไอคอน Snap ที่บนแถบเครื่องมือ (รูปแม่เหล็ก) และเครื่องหมายของ Snap ที่ต้องการได้ถูกเลือกไว้ เช่น กรณีนี้ให้แน่ใจว่า Sanp to Clips ได้ถูกเลือก จากนั้นเมื่อเลื่อน Track ทั้งสองส่วนจะ Snap ติดกันได้ดี แต่ก็ต้องระวังอย่าให้เหลื่อมกัน เทคนิคอีกอย่างคือให้กด Shift + Delete แทนกด Delete เพราะจะทำให้ทั้งสอง track มา Snap ติดกันได้เลย หรืออีกวิธีคือ เมื่อก Delete แล้ว ให้คลิกขวาในส่วนที่ว่างที่ตัดออก แล้วเลือก Ripple Delete - Gap
คำสั่ง Nudge left / Nudge right เป็นคำสั่งการเลื่อก Track ไปทางซ้าย หรือ ขวา วิธีใช้โดยคลิกที่ Track แล้วใช้เมนู Clip - Nudge left หรือ Nudge right
การพิมพ์ตัวเลขใส่ แทนการเลื่อนจะทำให้เกิดความแม่นยำของเวลามากขึ้น
Properties Panel = เมื่อคลิกที่ Track แล้วมาคลิกที่ Properties Panel จะเห็นรายละเอียดของ Track นั้น
การรวมกลุ่ม Grouping Clips
ก่อนอื่นให้คลิกที่ Move Tool จากนั้นนำมาลากระหว่าง Track ที่ต้องการรวม เหมือนการลาก Selection แต่ไม่ต้องลากคลุมทั้งหมด ทำเหมือนการเลือกไฟล์ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น จากนั้นใช้เมนู Clip - Groups - Group Clips สีของ Track ที่เลือกก็จะเปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน พร้อมมีสัญญลักษณ์ที่มุมด้านล่างซ้ายของ Track ถ้าต้องการแยกออกให้ทำตามขั้นตอนเดิมอีกครั้ง สังเกตุในส่วนของ Properties Panel จะมีแถบ Group แสดงให้เห็นด้วย ถ้าต้องการแยกชั่วคราว ให้เลือกคำสั่ง Suspend ซึ่งอยู่ถัดจากคำสั่ง Group เมื่อเสร็จแล้วก็ใช้คำสั่ง Suspend อีกครั้ง ถ้ามีการเปลี่ยนระหว่าง Group และ Suspend เมื่อเลือกแล้ว ให้คลิกที่พื้นที่่ว่างก่อนหนึ่งครั้ง ถึงจะทำการลากได้ (ใช้คีย์ลัดสะดวกกว่า) ประโยชน์คือจะทำให้การเลื่อน Track หรือ Trim Track ไปได้พร้อมกันเมื่อคลิกเลื่อน Track ใด
การสร้าง Bus Groups
เหมาะกับ Multitrack ที่มีจำนวนมาก แล้วต้องการสร้าง Bus track ขึ้นมาเพื่อควบคุมเฉพาะ Track ที่กำหนดให้อยู่ในการควบคุมของ Bus track การทำคือ คลิกที่ Output - Bus เลือกรูปแบบที่ต้องการ จากนั้นกำหนดให้ Track ที่ต้องการควบคุมมีชื่อที่เหมือนกัน
ขั้นตอนการทำ Bus Groups ก่อนอื่นต้องกำหนดสอง Track ที่เราต้องการทำ Bus ก่อน จากนั้นให้คลิกเลือกในส่วนแถบ Master Output - Bus - Add Bus เลือกรูปแบบ / ในแถบ Output นี้ก็จะเปลี่ยนเป็นชื่อ Bus A พร้อมทั้งมีการสร้าง Track Bus A ขึ้นมาให้ถัดจาก Track ที่เรากำหนดนี้ ซึ่งจะอยู่ระหว่างกลางสอง Track ที่เรากำหนด Track Bus A นี้ไม่สามารถทำอะไรได้ เช่น การใส่เพลง การบันทึก ... โดยให้สังเกตุจากไอคอน R จะไม่มีใน Track นี้ และเครื่องหมายก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแทนสีเขียว เป็นเครื่องหมายการรวมของ Track ให้เหลือ Track เดียว ชื่อ Output Master ก็จะเป็นเปลี่ยนเป็น ชื่อ Track + คำว่า Bus
จากนั้นมากำหนดที่ Output Master ของ Track ทีสองที่เราต้องการกำหนด เมื่อคลิกลูกศรแล้วให้เลือก ชื่อที่เหมือนกับชื่อใน Output Master ที่ได้เปลี่ยนไป ถึงตอนนี้ชื่อใน Output Master ของสอง Track ที่เราต้องการใช้ก็จะเหมือนกัน ต่อไปให้เลื่อน Track ทั้งสองให้อยู่เหนือ Track Bus
ต่อไปให้ทำการปรับจาก Bus Track เมื่อเปลี่ยนอะไรก็จะไปกระทบกับทั้งสอง Track เช่นการเพิ่ม Effect หรือ การปรับเสียง ...ที่เราได้กำหนดไว้ โดยสังเกตุช่อง Level ในส่วนของ Bus Track จะมีสองเส้น ใน Bus track ช่อง Input จะต้องแสดงเป็น Master
การสร้าง Routing and Working with Sends
ไอคอน Sends คือรูปลูกศรชี้ทางขวาและลงร่วมกัน อยู่ถัดจาดไอคอน Effect เมื่อคลิกที่ไอคอนนี้ จะแสดงขึ้นมาในทุก Track หน้าตาของ Track ก็จะเปลี่ยนตามภาพ การทำแบบนี้เมื่อต้องการส่งเสียงนี้ใช้กับ Headphone
วิธีทำโดยการคลิกที่ แถบ S1 - Add Bus เลือกรูปแบบ เช่น Stereo แถบชื่อ S1 จะเปลี่ยนเป็น S1: Bus A, B หรือ C แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีได้สร้าง Bus อะไรไว้ จากนั้นก็จะมีการเสร้าง Track Bus ... นั้นขึ้นมาเช่นกัน ให้เปลี่ยนชื่อของ Track Bus...นั้นเป็นชื่อที่เราต้องการส่ง เช่นเปลี่ยนเป็น Headphone Mixed ซึ่งจะทำให้ Output Track ของ S1 Bus..นั้น เปลี่ยนชื่อตามไปด้วย
การใช้ Automation เพื่อปรับ Volume
จะใชักับ Multitrack เช่นการปรับเส้น Volume ให้มีระดับเสียงที่ต่างจาก Wave ที่แสดง โดยการคลิกลากเส้น Volume ให้มีระดับเดียวกับ Wave จากนั้น คลิกทีเส้น Volume จะเกิดจุดซึ่งเรียกว่า Keyframe จากนั้นลากจุดเพื่อปรับระดับเสียงให้ดัง หรือ เบา กว่า Wave ได้ ถ้าต้องการแก้ไข หรือ ลบ Keyframe ให้คลิกขวาที่จุด แล้วเลือกคำสั่งต่าง ๆ
การใช้ Automation เพื่อปรับ Pan
จะใชักับ Multitrack การปรับนี้เพื่อทำให้เสียงออก Channel ซ้าย หรือ ขวา โดยการลากขึ้นลง หรือกำหนดจุด ได้เหมือนกับ Volume แต่ในส่วนของ Pan ไม่ต้องลากเส้นไปให้เท่ากับระดับของ Wave
การอ่านเส้น Volume and Pan
จะใช้แถบ Read ในการอ่าน เช่น ถ้าเราต้องการเปลี่ยนจาก Read เป็น Off, Write, Latch, Touch ทำโดยคลิกที่แถบ Read แล้วเลือกรูปแบบที่ต้องการ แต่รูปแบบสามส่วนนี้ Write, Latch, Touch จะปรับได้เมื่อเล่นเพลง แล้วทำการปรับเช่นปรับเสียงก็ให้นำเม้าส์ไปเลื่อนที่ไอคอน Volume หรือ Pan ไปมาเป็นต้น
การทำ Pre-Render Tracks
คือการช่วยการทำงานของ CPU เพราะการสร้าง Audio Track ที่มีจำนวนมากจะทำให้คอมพิวเตอร์ต้องทำงานหนัก ยิ่งถ้าเป็นคอมฯ สเปคต่ำ แต่โปรแกรมนี้มีตัวช่วยคือ Pre-Render Track ซึ่งอยู่ในส่วนของการใส่ Effect เพราะบาง Effect ที่ใช้นั้น คอมฯ ต้องทำงานหนักมาก การใช้ Pre-Render Track จะลดภาระได้โดยทุกครั้งที่มีการทำอะไรกับ Track มันจะสร้าง Wav File ขึ้นมา
การ Export Mix Sound ใน Multitrack
เมนู File - Export - Multitrack Mixdown - Entire Session จะมีหน้าต่างแสดงขึ้นมา ให้ทำการตั้งชื่อ เลือกที่เก็บ ส่วน Format หรือประเภทของ Audio นั้น ถ้าเลือกเป็น Wav, Aiff จะทำให้มีเสียงที่ดี เพราะไม่มีการบีบอัด แต่ไฟล์จะมีขนาดใหญ่ ถ้าต้องการให้ไฟล์เล็กลง ให้เลือก MP3 และเหมาะกับการส่งอีเมล์ / ในส่วนของ Mixdown Option สามารถเลือกได้ว่าต้องการส่ง Track ใด
การ Export the Session
คือการนำชิ้นงาน Multitrack จากเครื่องที่สร้าง เพื่อนำไปเปิดกับคอมพิวเตอร์อื่นเพื่อเปิดชิ้นงานนั้นมาแก้ไข หรือเพิ่มเติมได้ นามสกุลของไฟล์จะเป็น ชื่อ.sesx วิธี Export ทำได้โดยใช้เมนู File - Export - Session จะได้หน้าต่าง Export Session ทำการตั้งค่า และให้แน่ใจว่าได้ทำเครื่องหมายเลือก ที่ Include marker and other metadata in session และ Save copies of associated file
การ Burning the Mix to CD (One Track)
เมนู File - Export - Burn audio to CD ทุกอย่างไม่ต้องเปลี่ยน ปล่อยตาม Default ระบบจะตรวจสอบแผ่น CD ให้ก่อนที่จะทำการ Burn ถ้าทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไร ก็กดปุ่ม OK
การ Burning the Mix to CD (More Than One Track)
เมนู File - New - CD Layout จากนั้นลากเพลงในส่วนของ File Panel มาไว้ในส่วนของ Layout หรือจะคลิกขวาที่ชื่อเพลงแล้วเลือก Insert into CD Layout ในขั้นตอนนี้สามารถเลือกได้ว่าจะใส่ที่ Layout เดิม หรือ Layout ใหม่ก็ได้ โดยการเลือกชื่อ Layout ที่เราเปิดมาแล้ว หรือเลือกเป็น New CD Layout
สามารถกำหนดในส่วนของ Pause คั่นระหว่างเพลงได้ด้วย และถ้าต้องการดูรายละเอียดของเพลง ก็ให้คลิกที่ชื่อเพลง แล้วมาดูที่ Properties Panel
จากนั้นใหัคลิกที่ Burn Audio to CD ซึ่งอยู่ด้านล่างขวาของ layout ทุกอย่างไม่ต้องเปลี่ยน ปล่อยตาม Default ถ้าต้องการให้คุณภาพเสียงดี ไม่ควรเลือก Speed ที่เร็วนัก (Speed ตัวเลขยิ่งมากยิ่งเร็ว)
การสร้างงานวีดีโอในโปรแกรม Audition เพื่อส่งต่อไปโปรแกรม Premiere Pro
โปรแกรมนี้ใช้สำหรับการปรับแต่ง Audio Clip เท่านั้น ส่วน Video นั้นมีไว้สำหรับประกอบการปรับแต่ง Audio เพราะ Video File ไม่สามารถปรับแต่งได้ การสร้างชิ้นงาน Video ต้องทำใน Mode Multitack (sample rate video = 48000) เมื่อสร้างชิ้นงานเสร็จแล้ว ไม่สามารถทำการบันทึกชิ้นงานได้ ทำได้เพียงการ Export Multitrack ไฟล์ที่ได้ก็จะเป็นเพียงไฟล์เสียงเท่านั้น
การลากวีดีโอเข้ามาที่ Track ให้คลิกแล้วลากมาตรงชื่อของ Track นั้นแล้วปล่อยเม้าส์ ก็จะได้ Video Track ขึ้นมาเหนือ Audio Track นั้น หรือจะใช้เมนู Mulitrack - Track - Add Video Track ก็ได้ อย่าลืมเปิด Video Panel ด้วย
การ Export Multitrack to Premiere Pro
เมื่อสร้างชิ้นงานโดยใส่เสียงให้กับวีดีโอเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการ Export โดยใช้เมนู Multitrack - Export to Adobe Premiere Pro จะได้หน้าต่างขึ้นมาเพื่อให้ทำการตั้งค่าตามที่ต้องการ แต่ถ้าไม่ต้องการตั้งอะไรพิเศษ ก็ปล่อยตามค่า Default แต่มีสองส่วนที่ควรรู้คือ ถ้าไฟล์ทีส่งไปนั้นต้องการที่จะนำไปปรับแต่งต่อก็ให้คลิกเลือกที่ Export each track as stem แต่ถ้าชิ้นงานนี้เป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์แล้วให้เลือก Mixdown session to: และ เลือกประเภทเป็น mono, stereo or 5.1 file ตามที่ต้องการ
- ถ้าไฟล์นี้มีการทำ Bus ให้คลิกเลือกที่ช่อง Export each bus as stem
- ถ้าขณะทีส่งไฟล์แล้วยังไม่ได้เปิดโปรแกรม Premiere Pro จะต้องมีขั้นตอนการเลือกไฟล์ให้กับโปรแกรมก่อน
- ถ้าเป็นการเพิ่มไฟล์ให้กับงานเดิม โปรแกรม Premiere Pro จะถามว่าให้วางไว้ที่ New Track หรือ Track ใดในชิ้นงาน
การ Import file
เมนู File - Import - File เลือกไฟล์ที่ต้องการ import เช่น ถ้า Import จาก Premiere Pro ต้องเลือกไฟล์นามสกุล xml
การทำ Speech Alignment:
คือการนำไฟล์เสียงมาปรับแต่งกับไฟล์วีดีโอ บางครั้งไฟล์เสียงที่อัดไว้ไม่ Align กับปากที่ขยับ วิธีการทำโดยเริ่มต้นให้ทำการเลือกไฟล์เสียงในวีดีโอ กับไฟล์เสียงใหม่ที่อัดไว้ แล้วใช้เมนู Clip - Automatic Speech Alignment จากนั้นทำการตั้งค่าต่างๆ ตามรายละเอียด
- Refference Clip ให้เลือกไฟล์เสียงเดิมที่มากับวีดีโอ
- Reference Channel เลือกซ้ายหรือขวาก็ได้ เพราะระบบ Stereo ไม่มีผลต่างกัน
- Alignment ตัวนี้ให้เลือกเป็น Balance Alignment and Stretching ก่อนถ้าไม่ดีค่อยมาเปลี่ยนใช้ตัวอื่น
- tightest = มีการ sync ดีที่สุด แต่เสียงไม่เป็นธรรมชาติ
- balanced = ตรงกลางระหว่างสองตัวนี้
- smooth = เสียงค่อนข้างธรรมชาติแต่การ sync ไม่ค่อยดี
จากนั้นให้แน่ใจว่าได้เลือก Reference Clip is Noisy and Add Aligned Clip to New Track จากนั้นจะเข้าระบบการ Align และจะมี Track ใหม่เกิดขึ้นระหว่างไฟล์เสียงที่เราเลือกไว้ให้ Align
การสร้าง Surround Track
โดยเลือกที่เมนู File - New - Multitrack Session เลือก Master จากหน้าต่าง New Multitrack Session เป็น 5.1 แล้วกด OK จากนั้นมาทำการเปิดเครื่องมือโดยดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนรูปวงกลม Track Panner Panel ปุ่ม Ls Rs คือ left and right speaker ปุ่มสีขาวตรงกลางสามารถคลิกเพื่อเลื่อน radius ได้ ส่วน angle ใช้สำหรับเลือนก้านของ L and R
สำหรับโปรแกรม Adobe Audition ก็จพอสรุปบทความการใช้งานคร่าวๆ ได้ประมาณนี้ครับ ถ้ามีอะไรใหม่จะพยายามเข้ามาอัพเดทให้ต่อไป
ขอบคุณนะครับ กำลังหาข้อมูลอยู่พอดีครับ
ตอบลบทำไมเวลาเรากดอัดเสียงแล้วเคลื่อนเสียงมีแค่ด้านล่าง ไม่มีด้านบนอ่า แก้ไม่เป็นช่วยที เพราะปกติจะมีเคลื่อนเสียงบนกับล่างแต่อันนี้มีล่างอันเดียว งง เลย TT
ตอบลบตอบ FujiMin InspireMelody
ตอบลบเข้าใจว่าตอนเลือกอัดเสียงแล้วไปเลือกเป็นระบบ Mono คลื่นเสียงจึงแสดงเพียงแถบเดียว ลองทำตามนี้นะครับ ใช้เมนู file > new > audio file จะมีหน้าต่าง new audio file แสดงขึ้นมา ให้เลือกเป็น stereo ที่แถบ channels แล้วกด ok
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณค่ะ ช่วยได้มากจริงๆ
ตอบลบพวกไฟล์ที่มีนามสกุล .pkf นี่เปิดยังไงเหรอครับ Au ของผมเปิดไม่ได้อะ มันบอกว่า Error : File not supported by any currently registered plug-ins. ถ้าทราบวิธีแก้ช่วยบอกหน่อยนะครับ ขอบคุณมากค้าบบ
ตอบลบตอบ NFgPlooto
ตอบลบไฟล์ .pkf เกิดจากการสร้างงานในโปรแกรม Au โดยโปรแกรมจะสร้างไฟล์นี้ขึ้นมาพร้อมกับไฟล์เสียง เช่น WAV และอื่นๆ ตามที่ได้กำหนด ไฟล์ .pkf ไม่สามารถใช้โปรแกรมเปิดได้ครับ ไฟล์ .pkf ใช้สำหรับให้โปรแกรม Au จำการบันทึกค่าต่างๆ ที่สร้างไว้ในชิ้นงานเท่านั้นครับ
ผมอยากจะเซฟให้มันมีเมโทรนอมออกด้วยอ่ะครับ ต้องทำยังไงอ่ะ ทำมาเป็น 10 รอบแล้วก็ไม่ไม่สักที
ตอบลบตอบ .. เท่าที่รู้ metronome เป็นเครื่องมือในการให้จังหวะ ซึ่งเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งของโปรแกรม Adobe Audition ไม่สามารถที่จะ export track metronome ออกมาได้ครับ
ตอบลบแล้วพี่พอจะมีโปรแกรมไหนแนะนำบ้างครับ คือผมต้องการจิงๆ แต่ไม่รู้จะหาที่ไหนอ่ะคับ
ตอบลบตอบ .. ก็มีเทคนิคอยู่หลายวิธี เช่น อาจจะใช้โปรแกรม snagit จับเฉพาะเสียงขงอ metronome ก็ได้ครับ
ตอบลบอ่อครับ ขอบคุนครับ :(
ตอบลบใครมี วิธีแก้ ปัญหาของผมบ้างครับ คือ
ตอบลบผมลง adobe audio cs6 แล้ว เอาไฟร์ mp3 เข้าไปแล้ว มันมี คลื่นเวฟขึ้นแล้ว แต่พอกด Spacebar แล้ว มันไม่เล่น ไฟร์ ให้อะครับ ผมยัง งง มันเป็นอะไรของมัน พอไปลง เครื่องอื่น มันก็เล่นได้ ปกติ นะครับ ใครมี วิธีแก้ ไหมครับ
กดเชฟไม่ได้ทำยังไงค่ะ คือจะกด save selection as แต่มันไม่ขึ้นอ่ะ ทำไงดีค่ะ
ตอบลบ