แต่งภาพตามความฝัน slide 1 title

เติมความคิดให้กับภาพ ตามอารมภ์ที่ล่องลอย บวกกับใจที่แสนรัก

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โปรแกรม adobe bridge cs6


โปรแกรมที่ใช้สำหรับดูภาพ และยังสามารถกำหนดสิ่งต่างๆ ให้กับภาพ เพื่อความสะดวกในการค้นหา แถมยังเป็นโปรแกรมที่ทำงานร่วมกับ Photoshop ได้เป็นอย่างดี

การเปิดโปรแกรม Bridge เปิดได้จากโปรแกรมโดยตรง หรือเปิดจากโปรแกรม Photoshop ก็ได้ โดยที่โปรแกรมเมนู เลือก File เลือก Browse in Bridge

การปรับพื้นที่ทำงาน Workspace ของโปรแกรม ทำได้โดยการเลือกที่แถบด้านบนขวามือของโปรแกรม ซึ่งมีทั้งหมด 8 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่ Essential, Filmstrip, Metadata, Output, Keywords, Preview, Light Table, Folder แต่ละแบบก็เหมาะกับความสะดวกที่แตกต่างกันไป รวมทั้งยังสามารถกำหนด Workspace ขึ้นตามความต้องการของเราได้ด้วย โดยการจัดเรียงรูปแบบที่ต้องการ จากนั้นเลือก New Workspace ที่แถบด้านบนขวามือของโปรแกรมเช่นกัน เท่านี้ก็จะได้รูปแบบของเราเองไว้ใช้งาน







  • ไอคอนลูกศรชี้ทางซ้าย = คำสั่งให้กลับไปยังขั้นก่อนหน้า
  • ไอคอนลูกศรชี้ทางขวา = คำสั่งให้ไปยังขั้นหลังสุด
  • ไอคอนลูกศรชี้ลง = คำสั่ง Go To เมื่อคลิกไอคอนนี้ จะสามารถเลือกคลิกในส่วนที่ต้องการให้แสดงในส่วนของ Content
  • ไอคอนลูกศรชี้ลงและรูปนาฬิกา = คำสั่ง Recent Folder เพื่อไปยังส่วนที่ถูกเลือกก่อนหน้า
  • ไอคอนบูมเมอแรง = การสั่งให้กลับไปสู่โปรแกรม Photoshop
  • ไอคอนลูกศรชี้ลงและกล้องถ่ายรูป = ใช้สำหรับโหลดภาพจากกล้องถ่ายรูป
  • ไอคอน Refine = สำหรับเลือก Review Mode, Batch Rename, และ File Info
  • ไอคอน Camera Raw = สำหรับเปิดโปรแกรม Camera Raw
  • ไอคอน Output = สำหรับการสร้างภาพเป็น PDF หรือ Web Gallery
  • ไอคอน Rotate = สำหรับการ Rotate ภาพ
  • ไอคอนรูปดาว = สำหรับการเลือกให้แสดงตามเงื่อนไข เช่น จำนวนดาว หรือป้ายกำกับต่างๆ ที่ใส่ให้กับภาพ
  • Sort by File name = สำหรับการเลือกให้แสดงตามรูปแบบการจัดเรียงต่างๆ 
  • ไอคอน Open Recent File = สำหรับเลือกไฟล์ที่เปิดก่อนหน้า
  • ไอคอน Create a New Folder = สำหรับการสร้างโฟลเดอร์
  • ไอคอน Delete Item = สำหรับการลบ ภาพ ไฟล์ หรือ โฟลเดอร์





วิธีพิจารณา และปรับแต่งภาพถ่าย
ทำได้โดยการคลิกที่ภาพซึ่งจะแสดงอยู่ในส่วนของ Content ซึ่งเป็นพื้นที่ตรงกลางของโปรแกรม เมื่อคลิกที่ภาพแล้ว ภาพจะแสดงที่ช่อง Preview ซึ่งอยู่ด้านขวามือของโปรแกรม ส่วนรายละเอียดต่างๆ ของภาพ จะแสดงอยู่ในส่วนของ Metadata .. สามารถปรับขนาดของช่อง Preview ให้ใหญ่ขึ้น หรือเล็กลงโดยการเลื่อนที่แถบด้านซ้าย และแถบด้านล่างของกรอบ Preview




การปรับขยายภาพ และรูปแบบการแสดง 
ภาพที่แสดงอยู่ในส่วนของ Content สามารถปรับขนาดได้ โดยการปรับเลื่อนที่แถบด้านล่างขวามือของโปรแกรม พร้อมทั้งยังสามารถที่จะเลือกรูปแบบการแสดงได้จากการคลิกเลือกไอคอนถัดจากแถบปรับขนาด เพื่อเลือกรูปแบบการแสดงภาพได้อีกด้วย ขณะที่คลิกอยู่ที่ภาพใดภาพหนึ่งถ้าต้องการเลื่อนไปยังภาพอื่น ทำได้โดยการใช้ปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ด

การซูมภาพ
ถ้าต้องการขยายบางจุดของภาพเพื่อดูรายละเอียด สามารถทำได้ด้วยการซูมภาพจากช่อง Preview เมื่อนำเม้าส์เข้าไปในส่วนของ Preview เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นรูปแว่นขยาย ให้ทำการคลิกลงตรงส่วนที่ต้องการขยาย จะได้กรอบของแว่นขยายขึ้นมา กรอบแว่นขยายนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยให้คลิกที่กรอบนี้แล้วลากเพื่อเปลี่ยนไปยังจุดอื่นที่ต้องการขยาย และเมื่อต้องการปิดแว่นขยายก็เพียงคลิกที่กรอบนั้นอีกครั้ง




การดูภาพแบบ Full Screen
เมื่อคลิกเลือกภาพที่ต้องการจากส่วนของ Content แล้ว โดยจะเลือกเพียงหนึ่ง หรือหลายภาพก็ได้ การเลือกหลายภาพทำได้โดยการกด Ctrl ค้างไว้แล้วคลิกเพิ่มทีละภาพจนครบทั้งหมดที่ต้องการ จากนั้นใช้โปรแกรมเมนู View เลือก Full Screen Preview หรือจะใช้คีย์ลัดโดยการกด Spacebar ก็ได้ ขณะที่อยู่ในโหมด Full Screen Preview ถ้าต้องการเลื่อนภาพให้ใช้ปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ด และถ้าต้องการออกจาก Full Screen Preview ให้กดปุ่ม Esc

การดูภาพแบบ Review Mode
ขั้นแรกเลือกภาพที่ต้องการ จากนั้นใช้โปรแกรมเมนู View เลือก Review Mode หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + B การดูภาพใน Mode นี้เป็นการดูภาพแบบหมุนเวียน ถ้าต้องการเลื่อนภาพให้ใช้ปุ่มลูกศร ซ้าย หรือ ขวา เพื่อเลื่อนการหมุนภาพทางซ้าย หรือ ขวา พร้อมกันนี้ยังสามารถเลือกได้ว่าภาพใดที่ไม่ต้องการ หรือไม่อยากให้อยู่ในกลุ่มภาพนี้ ให้คลิกที่ภาพแล้วใช้ปุ่มลูกศรชี้ลงเพื่อนำภาพออกไปจากชุดภาพทั้งหมดที่เลือก

ขณะที่ดูภาพสามารถใช้เครืองมือซูม โดยการคลิกที่ไอคอนแว่นขยายซึ่งอยู่ด้านล่าวขวา และเมื่อดูจนพอใจ และเลือกภาพได้เป็นที่ต้องการแล้ว อยากที่จะเก็บไว้เป็น Collection ให้คลิกที่ไอคอนรูปกระเป๋าซึ่งอยู่ถ้ดจากไอคอนแว่นขยาย ภาพชุดนี้ก็จะถูกส่งมาเก็บไว้ที่แถบ Collection สามารถทำการตั้งชื่อใหม่ให้กับ Collection ได้โดยการดับเบิ้ลคลิกที่แถบชื่อที่โปรแกรมตั้งให้ แล้วพิพม์ลงไปใหม่ตามต้องการ ถ้ายังไม่ต้องการสร้าง Collection แล้วต้องการออกจาก Review Mode ให้คลิกที่ไอคอนรูปกากบาท หรือกดปุ่ม Esc





การดูภาพแบบ Slide Show
โปรแกรมเมนู View เลือก Slideshow หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + L ถ้าต้องการหยุดภาพ (pause) ขณะที่อยุ่ในโหมด Slideshow ให้กด Spacebar ถ้ากดอีกครั้งก็เป็นการปลด pause ถ้าต้องการออกจาก Slideshow ให้กดปุ่ม Esc

  • การตั้งค่าการดูภาพแบบ Slideshow ทำได้ 2 แบบ
    • ขณะที่ชมภาพให้กด L หน้าต่าง Slide Options ก็จะแสดงขึ้นมาเพื่อให้ทำการตั้งค่า
    • ขณะอยู่ที่โปรแกรม Bridge เลือกโปรแกรมเมนู View เลือก Slide Show Option หรือคีย์ลัด Ctrl + Shift + L

การ จัดเรียง จัดลำดับ ให้กับภาพ
ภาพที่ได้จากการถ่ายภาพนั้นมีมากมายที่ต้องนำมาทำการคัดเลือกเพื่อหาภาพที่ดีที่สุด ดังนั้นจำเป็นต้องมีการจัดลำดับ รวมถึงการใส่สิ่งต่างๆ เช่นการติดดาว การใส่แถบสี การใส่ข้อความ เพื่อกำกับให้กับภาพนั้นๆ การสร้างสิ่งต่างๆ นี้ สามารถทำได้กับทุกโหมดที่ใช้ในการดูภาพขณะนั้น

การติดดาว ทำได้โดยเลือกที่โปรแกรมเมนู Label แล้วทำการเลือกจำนวนดาว หรือจะใช้คีย์ลัดในการใส่ดาวก็ได้ตามรายการ

  • Ctrl + 1 = 1 ดาว
  • Ctrl + 2 = 2 ดาว
  • Ctrl + 3 = 3 ดาว
  • Ctrl + 4 = 4 ดาว
  • Ctrl + 5 = 5 ดาว
ถ้าต้องการนำดาวออกจากภาพ ให้กด Ctrl + 0

การติดป้ายกำกับ ทำได้โดยเลือกที่โปรแกรมเมนู Label เช่นกัน แล้วทำการเลือกชนิดของป้ายกำกับ หรือจะใช้คีย์ลัดได้ตามรายการด้านล่าง แต่ถ้าต้องการนำป้ายกำกับออกจากภาพ ให้เลือก No Label

  • Ctrl + 6 = Select แถบสีแดง
  • Ctrl + 7 = Second แถบสีเหลือง
  • Ctrl + 8 = Approved แถบสีเขียว
  • Ctrl + 9 = Review แถบสีฟ้า

ถ้าต้องการเปลี่ยนจำนวนดาว หรือป้ายกำกับให้กับภาพ ทำโดยคลิกที่ภาพนั้น แล้วกด Ctrl แต่ละตัวที่ต้องการเปลี่ยนได้เลย โปรแกรมจะอัพเดทให้โดยอัตโนมัติ


การ คัดกรอง คัดเลือก ภาพ

ภาพที่ทำการติดดาว หรือใส่ป้ายกำกับแล้ว สามารถทำการคัดกรองภาพได้โดยคลิกเลือกแถบ Filter ในส่วนนี้จะเก็บข้อมูลของภาพทั้งหมด จากนั้นเลือกว่าต้องการคัดกรองภาพแบบใหน ก็ให้คลิกที่ส่วนนั้น จะปรากฏภาพตามการคัดกรองขึ้นที่ส่วนของ Content

ถ้าต้องการเลือกการคัดกรองที่มีการกำหนดมากกว่าหนึ่งรายการในครั้งเดียว เช่นถ้าต้องการภาพที่ติดดาว 1 ดาว และติดป้ายกำกับด้วยแบบ Select ด้วย ก็ให้คลิกที่จำนวนดาวของภาพ จากนั้นคลิกเลือกประเภทของป้ายกำกับที่ป็น Select ร่วมด้วย





การรวมกลุ่มให้กับภาพ (Stack)

ทำโดยให้เลือกภาพที่้ต้องการให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน จากนั้นเลือกโปรแกรมเมนู Stack เลือก Group as Stack หรือคีย์ลัด Ctrl + G ภาพที่ถูกเลือกก็จะรวมกันอยู่ใน Stack

ถ้าต้องการดูว่าใน Stack มีภาพอะไรบ้าง ทำได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม Play หรือคลิกที่แถบเพื่อเลื่อนชมภาพ จำนวนภาพที่อยู่ใน Stack จะแสดงเป็นตัวเลขอยู่ที่มุมบนซ้ายของ Stack




การขยายภาพออกจาก Stack ทำได้โดยการคลิกที่ตัวเลขบอกจำนวนภาพ ทุกภาพก็จะขยายออกมา ถ้าต้องการเก็บเข้า Stack เหมือนเดิม ก็คลิกที่ตัวเลขนั้นอีกครั้ง แต่ถ้ามีการสร้าง Stack มากกว่าหนึ่ง Stack แล้วต้องการขยายภาพออกจากทุก Stack ให้ทำโดยโปรแกรมเมนู Stack เลือก Expand All Stacks หรือคีย์ลัด Ctrl + Alt + Right Arrow ...ถ้าต้องการให้รวมกลับเข้าทุก Stacks เช่นเดิม ก็เลือกโปรแกรมเมนู Stack เลือก Collapse All Stacks หรือ Ctrl + Alt + Left Arrow

การยกเลิก Stack ให้คลิกที่ Stack เพื่อขยายภาพออกมาก่อน แล้วไปที่โปรแกรมเมนู Stack เลือก Ungroup from Stack หรือคีย์ลัด Ctrl + Shift + G


การสร้าง Collection 

การนำภาพต่างๆ มาเก็บเพื่อเป็น Collection ทำได้โดยให้คลิกแถบของ Collection และคลิกเลือกวิธีการสร้างที่ไอคอนด้านล่าง ซึ่งมีอยู่ 2 แบบ




  1. New Collection คลิกไอคอนรูปกระเป๋าใบแรก ทำการตั้งชื่อ จากนั้นคลิกเลือกภาพที่ต้องการ แล้วลากเข้าไปใน ไอคอน 
  2. New Smart Collection คลิกไอคอนรูปกระเป๋าใบที่สอง การทำ Collection ด้วยวิธีนี้ คือ การกำหนดเงื่อนไขให้โปรแกรมทำการเลือกภาพตามเงื่อนที่เรากำหนดให้ แล้วนำภาพมาเก็บให้เราโดยอัตโนมัติ



การนำภาพออกจาก Collection ให้คลิกที่ไอคอน Collection ที่ได้สร้างไว้ จะมีภาพที่เก็บไว้แสดงขึ้นมาที่ส่วนของ Content ให้ทำการคลิกเลือกภาพที่ต้องการลบออก แล้วกดปุ่ม Remove From Collection ที่แถบด้านบนของ Content การทำแบบนี้เป็นเพียงการนำออกจาก Collection ไม่ได้ลบภาพจริง ภาพต้นฉบับของเรายังคงอยู่เหมือนเดิม


Metadata และ Keyword คือ ข้อมูลของภาพนั้นๆ ซึ่งได้จากตัวภาพเอง และจากการเพิ่มเข้าไป เพื่อให้ผู้ที่ชมภาพได้ทราบข้อมูลต่างๆ ของผู้ถ่ายภาพ และรายละเอียดจากการสร้างภาพนั้นๆ ทั้งสองส่วนนี้จะแสดงอยู่ในแถบของ Metadata และ Keywords ของโปรแกรม


Metadata แบ่งได้ 2 แบบ 

  • การได้มาจากตัวข้อมูลของภาพ เช่น รายละเอียดของ ขนาด ความละเอียด ประเภทของสี และอื่นๆ 
  • การเพิ่มข้อมูลเข้าไปให้กับภาพ ทำได้โดยการคลิกเพื่อเปิดขยายแถบต่างๆ และพิมพ์ใส่เข้าไป เช่น แถบของ IPTC และอื่นๆ ที่ต้องการ
Keywords แบ่งได้ 2 แบบ

  • ใช้ Keywords ที่มีอยู่แล้วในโปรแกรม 
  • สร้าง Keywords ขึ้นมาเอง โดยการคลิกที่ปุ่มมุมบนขวามือของแถบ Keywords เลือก New Keywords หรือจะใช้วิธีคลิกเครื่องหมาย + ที่แถบด้านล่างก็ได้  จากนั้นให้ทำการตั้งชื่อของ Keywords ถ้าต้องการสร้าง Sub Keywords ให้คลิกที่เครื่องหมายก่อนหน้าเครื่องหมาย + (New Sub Keywords) และทำการตั้งชื่อ Sub Keywords
    • เมื่อสร้างทั้งสองส่วนเสร็จแล้ว ให้คลิกที่ภาพเพื่อใส่ Keywords จากนั้นคลิกเลือกช่องของ Keywords ต่างๆ ที่ต้องการใส่ให้กับภาพ
    • สามารถใส่ Keywords เดียวกันให้กับภาพหลายภาพ โดยการคลิกภาพทั้งหมดที่ต้องการ แล้วทำตามขั้นตอนการใส่ Keywords

การเปลี่ยนชื่อให้กับภาพ Renaming images

การใส่ชื่อให้กับแต่ละภาพด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ ของแต่ละคนนั้นทำได้ไม่ยาก และมีหลายวิธีด้วยกัน

  • คลิกเลือกทีละภาพ จากนั้นคลิกที่ชื่อของภาพแล้วทำการพิมพ์ หรือ
  • คลิกเลือกภาพทั้งหมดที่ต้องการ แล้วใช้โปรแกรมเมนู Tool เลือก Batch Rename หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + Shift + R หน้าต่าง Batch Rename แสดงขึ้นมา ทำการตั้งค่าต่างๆ เสร็จแล้วคลิกปุ่ม Rename




การเลือกภาพจาก Bridge เพื่อให้เปิดที่โปรแกรม Photoshop
ทำได้โดยการดับเบิ้ลคลิกที่ภาพ หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + O

การสลับ ไป-มา ระหว่างโปรแกรม Bridge กับ โปรแกรม Photoshop
ขณะอยู่ที่โปรแกรม Bridge ใช้โปรแกรเมนู File เลือก Return to Adobe Photoshop หรือกดคีย์ลัด Ctrl + Alt + O หรือจะกดไอคอนบูมเมอแรงซึ่งอยู่ด้านล่างของแถบโปรแกรมเมนูก็ได้

ขณะอยู่ที่โปรแกรม Photoshop ต้องการไปที่โปรแกรม Bridge ให้ใช้โปรแกรมเมนู File เลือก Browse in Bridge แต่ถ้าต้องการกลับ หรือจะกดที่ไอคอน Br ซึ่งอยู่ที่โปรแกรม Mini Bridge ก็ได้

Mini Bridge เป็น Extension ตัวหนึ่งซึ่งรวมอยู่กับ โปรแกรม Photoshop CS6 การทำงานด้วยคำสั่งต่างๆ สามารถใช้คำสั่งเหมือนกับที่ใช้ในโปรแกรม Bridge ทำให้เกิดความสะดวกขึ้นมากในการทำงานร่วมกันระหว่างสองโปรแกรม การเปิด Extension Mini Bridge ทำได้โดยโปรแกรมเมนู File ใน Photoshop เลือก Browse in Mini Bridge หน้าต่างก็จะเปิดขึ้นมาภายในโปรแกรม Photoshop





เชิญชมวีดีโอ 40 เทคนิคน่ารู้ #9 เทคนิคการใช้โปรแกรม Adobe Bridge





วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

photoshop cs6 advanced เทคนิคขั้นสูง


ตอนที่ 1


photoshop cs6 advanced

บทความในตอนนี้จะเริ่มเข้มข้น และต้องใช้เทคนิคในการปรับแต่งที่ซับซ้อนมากขึ้นนะครับ เพราะเป็นขั้นสูงของการเขียนบทความ เกี่ยวกับโปรแกรม Photoshop CS6 ของผมแล้ว ติดตามกันต่อได้เลยครับ

ก่อนที่จะเริ่มบทความ ขอแนะนำเทคนิคบางอย่าง เพื่อความสะดวกในการใช้โปรแกรม Photoshop CS6





วิธีกำหนดคีย์ลัดให้กับส่วนต่างๆ ของโปรแกรม

 สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราทำชิ้นงานของเราได้รวดเร็ว นั่นคือการรู้จักใช้คีย์ลัดของโปรแกรม และเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่ต้องไปเสียเวลากับการต้องคลิกคำสั่งทีละขั้นตอน

กำหนดคีย์ลัด ทำได้โดย โปรแกรมเมนู Edit เลือก Keyboard Shortcut หรือ คียลัด Ctrl + Alt + Shift + K หน้าต่าง Keyboard Shortcut ก็จะเปิดขึ้นมา จะมีอยู่สองส่วนด้วยกัน คือ Keyboard Shortcuts กับ Menus จะกำหนดในช่อง Keyboard Shortcuts ทั้งหมดก็ได้ เพราะ Menus ก็รวมอยู่ในส่วนนี้เช่นกัน




วิธีใส่คีย์ลัด ก็ทำได้โดย ให้คลิกที่ลูกศรของแต่ละส่วนเพื่อให้เปิดขยายออก แล้วคลิกในแถวของ Shortcut สำหรับรายการที่ยังไม่มีคีย์ลัดแสดง (ตามรูป) ให้ทำการใส่คีย์ลัดที่ต้องการ ถ้าคีย์ลัดนั้นซ้ำกับตัวอื่น โปรแกรมจะมีการเตือน ถ้าเราต้องการเปลี่ยนคีย์ลัดมาใช้กับรายการนี้ก็เพียงกด Accept แต่ถ้าไม่ต้องการก็ Undo Changes เมื่อได้ครบตามที่ต้องการแล้วให้ทำการบันทึก โดยปุ่มการบันทึกจะอยู่ก่อนหน้ารูปถัง ปุ่มแรกเป็นการบันทึกทับของเดิม ถัดไปสำหรับการบันทึกไฟล์ใหม่ ถ้าต้องการลบไฟล์คีย์ลัด ก็ให้เลือกไฟล์ในช่อง Shortcuts For แล้วกดรูปถัง


photoshop cs6 advanced


การเลือกเครื่องมือถัดไปในกลุ่มของเครื่องมือเดียวกันด้วยคีย์ลัด เครื่องมือของโปรแกรม Photoshop จะมีคีย์ลัดกำหนดให้อยู่แล้ว เมื่อจะเลือกเครื่องมือใด ก็เพียงแต่กดคีย์ลัดเท่านั้น แต่เครื่องมือส่วนใหญ่จะมีหลายตัวในกลุ่มเดียวกัน อาจนึกว่ายังไงก็ต้องใช้การคลิกเพื่อเลือกเครื่องมืออยู่ดี แต่เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าต้องการเลือกเครื่องมือตัวอื่นในกลุ่มเดียวกัน ทำได้โดยการใช้คีย์ลัดเช่นเดิม เพียงแต่ให้เพิ่มการการปุ่ม Shift เท่านั้น เช่นถ้าเราต้องการใช้เครื่องมือในกลุ่ม Marquee ตัวแรกของเครื่องมือคือ Reactangular Marquee Tool คียลัดคือ M ถ้ากดปุ่ม M จะเป็นการเรียกเครื่องมือล่าสุดที่ใช้ ถ้าเรากดปุ่ม Shift + M ก็จะเปลี่ยนเป็นการเลือกเครื่องมือ Ellipticla Marquee Tool แทน และก็จะเลื่อนไปเรื่อยๆ จนครบทุกเครื่องมือ

photoshop cs6 advanced


หน้าต่างแสดงการเตือนของโปรแกรม หลายครั้งที่รู้สึกรำคาญกับการเตือนของโปรแกรมที่ขึ้นหน้าต่างเพื่อเตือนในเรื่องต่างๆ จึงไปคลิกที่ช่อง Don't show again ทำให้ไม่มีการเตือนอีกต่อไป จนทำให้บางครั้งลืม และไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงมีความคิดอยากที่จะเรียกหน้าต่างการเตือนนี้กลับมาอีกครั้ง วิธีทำง่ายมากครับ โดยให้ไปที่การตั้งค่า Preference ของโปรแกรม หรือ กดปุ่ม Ctrl + K แล้วไปกดปุ่ม Reset All Warning Dialogs

HUD Color Picker ขอแนะนำวิธีการเลือกสีอีกรูปแบบที่มีในโปรแกรม Photoshop ปกติเราจะเลือกสีจาก Color Picker ปกติ ที่อยู่ในรูปแบบหน้าต่างกรอบสี่เหลี่ยม 


photoshop cs6 advanced

แต่ผมจะแนะนำเทคนิคในการเลือกสีจาก HUD Color Picker ซึ่งใช้ได้กับทุกเครื่องมือที่ใช้งานอยู่ขณะนั้น ยกเว้น เครื่องมือการทำ Selection  

วิธีใช้ก็ง่ายมาก เมื่ออยู่ที่ชิ้นงานให้ใช้คำสั่งคีย์ลัด Shift + Alt + Right click จะเห็นตามรูปที่แสดง เลือกสี่
Hue ได้จากการเลื่อนไปที่แถบด้านนอก เมื่อได้สีที่ต้องการแล้วมาเลือก Saturate กับ Brightness ที่กรอบด้านใน แบบแรกจะเป็น Strip และแบบทีสองเป็นแบบ Wheel จะเลือกแบบใหน ให้ไปตั้งค่าที่ Preference ในส่วนของ HUD Color Picker
photoshop cs6 advanced
Strip
photoshop cs6 advanced
Wheel






Blend if  เป็นตัวเลือกตัวหนึ่งที่อยู่ในการปรับแต่งภาพด้วย Layer Style ลักษณะนั้นจะเป็นการปรับความส่องสว่าง Luminance ของเลเยอร์ที่มีผลกระทบระหว่างสองเลเยอร์ด้วยกัน นั่นคือเลเยอร์ที่เราใช้งานอยู่ This Layer และเลเยอร์ที่อยู่ด้านล่างจากเลเยอร์ที่ใช้งาน Underlying Layer การทำงานของ Blend if คือจะทำให้ค่า Luminance ของ Shadow หรือ Highlight ที่กำหนดหายไป และจะทำให้สามารถเห็นภาพทะลุจากเลเยอร์หนึ่งไปอีกเลเยอร์หนึ่ง สามารถกำหนดสีที่จะปรับได้จากช่อง Blen If ซึ่งมีให้เลือก 4 สี คือ Gray, Red, Green, Blue ค่า Default คือ Gray ปุ่มแถบด้านสีดำจะแทนค่า Shadow และ ปุ่มแถบด้านสีขาวจะแทนค่า Highlight สามารถแยกขาของปุ่มแถบออกจากกัน ถ้าปรับโดยการแยกแถบออก จะเป็นการส่วนของ Luminance ทั้งของ Shadow หรือ Highlight เกิดความ Soft หรือ เบลอ

photoshop cs6 advanced

photoshop cs6 advancedphotoshop cs6 advanced
ภาพสองภาพนี้นำมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงการปรับค่า โดยภาพด้านซ้ายจะเป็นภาพบนของเลเยอร์
และภาพด้านขวาเป็นภาพด้านล่างของเลเยอร์ ขณะปรับนั้นคลิกเลือกภาพอยู่ที่เลเยอร์บน



photoshop cs6 advancedphotoshop cs6 advanced
ภาพซ้ายเกิดจากการปรับ This Layer ซึ่งจะทำให้ส่วนที่เป็นสีดำและสีขาวของภาพด้านบนหายไปจนเห็นภาพด้านล่าง / ภาพขวาก็เช่นกันแต่ปรับจาก Underlying Layer ทำให้ภาพด้านล่างทะลุขึ้นมา



การจัดเรียงตำแหน่งภาพ Auto-Align การถ่ายภาพที่มี Background เหมือนกันหลายๆ ภาพ บางครั้งจำเป็นต้องนำภาพเหล่านี้มาปรับแต่งโดยการผสมภาพเข้าด้วยกัน (ไม่ต่ำกว่า 3 ภาพ) แต่ก่อนที่จปรับแต่งภาพได้จะต้องทำให้ Background ถูกจัดเรียงให้ตรงกันก่อน ทำได้โดยนำภาพทั้งหมดเข้าสู่โปรแกรม Photoshop เลือก Edit เลือก Auto-Align Layer เลือกรูปแบบเป็น Auto แล้วกดปุ่ม OK แต่ก่อนที่จะใช้คำสั่ง ต้องทำการคลิกเลือกทุกเลเยอร์ที่ต้องการจัดเรียงก่อน 

photoshop cs6 advanced


Smart Object 

เครื่องมือนี้เหมือนกับเป็นซองสำหรับใส่เลเยอร์ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ หรือ ตัวหนังสือ ต้นฉบับของเราจะถูกเก็บไว้ไม่ให้เสียหายเนื่องจากการปรับแต่ง  เพราะการปรับแต่งต่างๆ ไม่ได้เกิดจากการปรับแต่งที่ตัวภาพโดยตรง สิ่งที่ใช้ในการปรับแต่งจะเป็นเหมือนกับสำเนาอีกชุด เช่น

  • การย่อภาพ Transform ให้เหลือขนาดเล็กมากๆ ถ้าต้องการขยายให้ใหญ่เท่าเดิมอีกครั้ง ภาพนั้นจะไม่ชัด แต่ถ้าการย่อภาพที่มี Smart Object ภาพนั้นจะยังคงชัดเหมือนเดิม 
  • การใส่ Filter ต่างๆ ให้กับภาพ โปรแกรม Photoshop จะสร้างเลเยอร์ขึ้นมาเป็นเลเยอร์ Smart Filter จึงสามารถที่จะแก้ไข ซ่อน หรือลบ Filter เมื่อไรก็ได้ และจะไม่ทำให้ภาพต้บฉบับถูกทำลาย
การทำให้เลเยอร์ภาพ หรืองานของเราเป็น Smart Object โดยโปรแกรมเมนู Layer เลือก Smart Object เลือก Convert to Smart Object หรือ คลิกขวาที่เลเยอร์ เลือก Convert to Smart Object หรือใช้คีย์ลัดที่ตั้งไว้ Ctrl + , ง่ายที่สุดครับ

วิธีนำภาพเข้าสู่ชิ้นงานให้เป็นแบบ Smart Object ทำได้ 3 วิธี

  • โปรแกรมเมนู File เลือก Place เลือกไฟล์ภาพที่ต้องการ
  • นำเข้าจากโปรแกรม Mini Bridge โดยการลากภาพขึ้นมาบนโปรแกรม Photoshop โดยตรง
  • คลิกลากภาพจาก Drive ที่เก็บภาพเข้ามาที่โปรแกรม Photoshop โดยตรง
  • เปิดจากโปรแกรม Camera Raw โดยการกดปุ่ม Shift แล้วคลิก Open Image

เมื่อนำภาพเข้ามาที่โปรแกรม Photoshop แล้ว จะมีลักษณะเป็นเชือกขึงทั้งสี่มุมตามภาพข้างล่าง ทั้งนี้เพื่อสะดวกสำหรับการปรับขนาด สามารถทำการปรับขนาดได้โดยการลากที่มุมใดมุมหนึ่ง เสร็จแล้วกด Enter

photoshop cs6 advanced

การเปิดชิ้นงานต้นฉบับ เมื่ออยู่ใน Smart Object แล้วต้องการเรียกงานต้นฉบับเพื่อทำการปรับแต่ง หรืออะไรก็ตาม ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอน Smart Object ซึ่งอยู่ด้านล่างสุด ขวามือในกรอบของ Thumbnail จะมีกรอบเตือนแสดงขึ้นมา ให้คลิก OK เพราะเป็นเพียงการแจ้งว่าจะต้องบันทึกชิ้นงานโดยบันทึกที่ไฟล์เดิมเท่านั้น ก่อนที่จะออกจากชิ้นงานต้นฉบับเพื่อกลับมายัง Smart Object จากนั้นก็จะเข้าสู่หน้าชิ้นงานต้นฉบับ
photoshop cs6 advanced

photoshop cs6 advanced

การ Clone Smart Object การแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามกับ Group Smart Object ถ้าแก้ที่เลเยอร์ใด จะส่งผลกับเลเยอร์ทั้งหมดใน Group

Stack Mode เป็นเมนูที่อยู่ในเครื่องมือ Smart Object  วิธีเปิดเมนู โดยโปรแกรมเมนู Layer เลือก Smart Object เลือก Stack Mode ประกอบด้วยรายการต่างๆ ตามภาพ เมนูนี้สามารถใช้ร่วมกับ Auto-Align Layer
โดยใช้หลังจากทำ Auto-Align Layer แล้ว ให้รวมทุกเลเยอร์เป็น Smart Object เลเยอร์เดียว จากนั้นใช้เมนู Stack Mode สามารถใช้ Stack Mode ในการทำให้คนหายออกไปจากภาพได้อย่างง่ายดาย ด้วยวิ
ธีการเลือกรายการของ Stack Mode ได้แก่ Maximum และไล่เรียงลำดับความเข้มของการนำภาพออกตามลำดับ Minimum, Mean, Median,  Maximum

photoshop cs6 advanced

เทคนิค สามารใช้ Smart Object ซ้อน Smart Object ได้ และยังรวมเลเยอร์ Smart Object แต่ละเลเยอร์ให้เป็น Smart Object เดียวก็ได้


การปรับภาพให้เกิดแสงและเงา Shadow and Highlight 

คือการทำในส่วนที่เป็น Shadow ให้สว่างขึ้น และทำในส่วนที่เป็น Highlight ให้มืดลง หรือก็คือการลด Contrast ของภาพ การทำเช่นนี้จะทำให้ภาพเกิดความคมชัด ก่อนทำการปรับภาพควรทำให้เลเยอร์ภาพเป็น Smart Object ก่อนนะครับ เพื่อไม่ให้เกิดการทำลายภาพต้นฉบับ การเปิดใช้เครื่องมือให้ใช้โปรแกรมเมนู Image เลือก Adjustment เลือก Shadow and Highlight

photoshop cs6 advanced
ภาพก่อนปรับด้วย Shadow and Highlight
photoshop cs6 advanced
ภาพหลังปรับด้วย Shadow and Highlight
บทความเกี่ยวกับเรื่อง Shadow and Highlight ได้เขียนไปบ้างในบทความขั้นพื้นฐาน ในส่วนนี้จะเป็นการเจาะลึกถึงเทคนิคเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเปิดเครื่องมือขึ้นมาแล้ว จะมีอยู่สองส่วนตามหัวข้อ คือส่วนของการปรับ Shadow และ ส่วนของการปรับ Highlight แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับจะได้ทำการปรับได้ถูก เพราะในส่วนของแถบ Shadow นั้นใช้สำหรับทำให้ภาพสว่างขึ้น แต่ส่วน Highlight จะทำให้ภาพมืดลง ค่า Default ของ Shadow and Highlight คือ 35 และ 0 เปอร์เซ็นต์ ถ้าต้องการดูภาพก่อนปรับให้ยกเลิกการคลิกช่อง Preview

แถบ Tonal Width จะมีทั้งในส่วนของ Shadow และ Highlight ค่าเริ่มต้นจะตั้งอยู่ที่ 50% หมายความว่า ส่วนที่มืดที่สุด 50% จะเป็นส่วนของ Shadow และส่วนที่สว่างที่สุด 50% จะเป็นส่วนของ Highlight แถบนี้ถ้าไม่จำเป็น หรือไม่ชำนาญ ไม่ควรปรับปล่อยไว้ตามค่าที่ตั้งไว้ดีที่สุด แต่ถ้าอยากลองปรับ ควรปรับให้ทั้งสองส่วนเมื่อรวมกันแล้วจะต้องให้ได้เท่ากับ 100% เสมอ 

ส่วนที่สำคัญหลังจากปรับ Amounts ของ Shadow and Highlight แล้ว ควรจะปรับในส่วนของ Radius การปรับ Radius คือการทำให้ส่วนที่เป็นรัศมี (Halos) ของส่วนที่เป็น Shadow สว่างขึ้น และทำให้ส่วนที่เป็นรัศมี (Halos) ของส่วนที่เป็น Highlight มืดลง ซึ่ง Halos ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการปรับของ Shadow and Highlight นั่นเอง การทำเช่นนี้จะช่วยให้ภาพมี Contrast ขึ้นมาอีก

photoshop cs6 advanced

ส่วนของ Adjustment ซึ่งเป็น่วนที่สามของเครื่องมือ Shadow and Highlight ประกอบด้วย :
  • Color Correction เป็นส่วนที่ใช้ในการเพิ่ม Saturation หรือ ความอิ่มตัวของสี
  • Midtone Contrast ส่วนมาจะใช้สำหรับการปรับ เพิ่ม หรือ ลด ส่วนที่เป็นสีเทาซึ่งมักเกิดกับส่วนที่เป็นขอบของภาพ
  • Black Clip และ White Clip ปล่อยไว้ตามค่าเริ่มต้นไม่ต้องปรับอะไร ส่วนนี้เป็นส่วนของการ Clip Luminance Level ภายในภาพสำหรับส่วนที่เป็นสีดำ และ สีขาว ตามจำนวนเปอร์เซ็นต์
  • Save As Defaults ใช้สำหรับตั้งค่าให้เป็นค่าเริ่มต้น

การปรับความคมชัดด้วย เครื่องมือ Curve Adjustment Tool 

เครื่องมือนี้ใช้ในการปรับ Luminance เพื่อให้เกิดความสมดุลของ Contrast (ความแตกต่างระหว่างสีดำและสีขาวที่แสดงให้เห็นบนภาพ) เครื่องมือนี้เหมือนเป็นพี่ใหญ่ในส่วนของการปรับ Contrast ที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีมากอีกตัวของโปรแกรม Photoshop เพราะจะรักษารายละเอียดของภาพได้ดีที่สุด ลำดับเครื่องมือที่ใช้สำหรับการปรับ Contrast ทีใช้กันนั้น เริ่มต้นจากการใช้ Brightness/Contrast ตามด้วย Level และสุดท้ายก็คือ Curve เครื่องมือนี้ยังมีปุ่ม Auto Adjustment สำหรับมือใหม่ เพียงคลิกปุ่ม Auto เท่านั้น ภาพก็จะถูกปรับอย่างสวยงามโดยอัตโนมัติ

photoshop cs6 advanced
เครื่องมือนี้จะอยู่ในส่วนของ Adjustment Panel เริ่มจากกรอบของภาพ มุมด้านล่างปุ่มสีดำจะเป็นส่วนของการปรับสีดำ ส่วนปุ่มสีขาวเป็นส่วนของการปรับสีขาว เส้นกร๊าฟที่เห็นเรียกว่า Histogram เส้นทแยงมุมที่เห็นคือเส้น Curve Graph ซึ่งเป็นเส้นที่ใช้ในการปรับ 

วิธีปรับ ทำได้โดยการคลิกทีเส้น จะทำให้เกิดจุดบนเส้น เมื่อคลิกเส้นแล้วลาก โดยลากจากส่วนล่างขึ้นบน จะทำให้เกิดความสว่าง และกลับกัน ค่าตัวเลขที่อยู่ในช่อง Input และ Output หมายถึงตัวเลขของ Luminance ตั้ง 0 - 255 

Input คือ ค่าความ Contrast ของภาพก่อนปรับ 
Output คือค่าความ Contrast ของภาพหลังจากการปรับ

การเลื่อนจุดบนเส้นทำได้อีกวิธีคือ เมื่อคลิกที่เส้นเพื่อสร้างจุดแล้ว ใช้ปุ่มลูกศรบนแป้นพิมพ์ในการเลื่อน การใช้ปุ่มซ้ายและขวา เป็นการปรับค่า Input ปุ่มบนล่าง เป็นการปรับค่า Output

การเลือกปุ่มหลายปุ่มเพื่อทำการเลื่อนพร้อมกัน โดยการ กดปุ่ม Shift + คลิกทุกปุ่มที่ต้องการเลื่อนพร้อมกัน

การเลื่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดบนเส้นกร๊าฟ ขณะที่คลิกอยู่บนจุดใดจุดหนึ่งบนเส้นกร๊าฟ ให้กดเครื่องหมาย + เพื่อเลื่อนไปยังจุดต่อไปแบบเดินหน้า และ - เพื่อเลื่อนแบบถอยกลับ

ไอคอนที่เป็นรูปมือ เมื่อคลิกที่รูปมือแล้วนำมาคลิกที่ภาพตามจุดที่ต้องการปรับ จะทำให้เกิดจุดขึ้นบนเส้นกร๊าฟ และเมื่อทำการลากขึ้น หรือ ลง จุดนั้นจะขยับตามไปด้วยเหมือนกับทำการปรับโดยการคลิกที่เส้นกร๊าฟเช่นกัน

การยกเลิกจุดบนเส้นกร๊าฟ ทำได้โดยนำเม้าส์ไปคลิกที่จุดนั้นๆ แล้วลากออกมานอกกรอบ หรือ กดปุ่ม Ctrl แล้วคลิกที่ปุ่มนั้นก็ได้

การสร้างเส้น Curve Graph แบบอิสระ โดยคลิกเลือกไอคอนรูปดินสอ ทำการลากเส้นตามต้องการ

Preset คือส่วนที่บันทึกการตั้งค่าไว้สำหรับการเรียกใช้ครั้งต่อไป เครื่องมือ Curve ได้ทำ Preset ไว้ให้หลายตัวเหมือนกันลองเลือกใช้ดู หรือถ้าต้องการบันทึกของเราเองก็ทำได้ โดยหลังจากทำการปรับเป็นที่พอใจแล้ว ให้คลิกที่ลูกศรมุมบนสุดของเครื่องมือ แล้วเลือก Save Curve Preset

ถ้าต้องการปรับค่า Curve โดยเน้นการปรับที่แต่ละสี Red Green Blue ให้คลิกที่ช่อง RGB แล้วเลือกแต่ละสีก่อนการปรับ

การปรับสีของภาพให้เกิดความ Contrast มากที่สุดทำโดย ปรับจากจุดสำคัญสามจุด 
ได้แก่ จุดที่มืดที่สุดซึ่งมีค่าเท่ากับ 0 จุดที่สว่างทีสุดเท่ากับ 255 และจุดของแสงทีประมาณ 3/4 หรือประมาณ 190 ของภาพ โดยการคลิกที่ไอคอนรูปมือ เม้าส์จะกลายเป็นรูปหลอดดูดสี ขณะที่เลื่อนไปบนภาพ ให้สังเกตุตัวเลขที่ช่อง Input

เทคนิค Posterization คืออาการที่มักเกิดกับภาพที่มี Contrast ต่ำ และนำมาปรับด้วยเครื่องมือ Level หรือ Curve การปรับทั้งสองแบบนี้เป็นการยืดขยาย Histogram ให้ครอบคลุมโทนภาพทั้ง Highlights และ Shadows ผลที่ได้คือ ภาพดูมี Contrast และสีสันที่ดีขึ้น แต่ Histogram จะขาดหายเป็นช่วงๆ ทำให้ภาพมีโทนภาพที่ไม่ต่อเนื่อง และขาดความนุ่มนวล หรือเรียกอีกแบบว่าการเกิดสีในลักษณะขั้นบันได “Banding effect” วิธีแก้ทำได้โดยการทำให้ภาพเบลอลงเล็กน้อย ด้วยการปรับค่า Feather / กดปุ่ม Alt + คลิกที่กรอบของเครื่องมือจะเป็นการสั่งให้เพิ่มเส้นกริด



การสร้างสี Gradient ด้วยตนเอง 

สี Gradient คือ รูปแบบของสีที่มีการไล่ความเข้มของสีให้สวยงาม บางครั้งชุดสี Gradinet ที่มีให้ในโปรแกรม Photoshop ไม่ตรงกับความต้องการในการแต่งภาพ บทความนี้จะเขียนถึงการสร้างสี Gradient ตามความต้องการของเราเอง 

สามารถทำได้โดย ให้เปิดเปิดเครื่องมือ Gradient ที่แถบเครื่องมือ แล้วไปคลิกที่่ช่องแถบสีบนแถบควบคมุเครื่องมือ Gradient จะได้หน้าต่าง Gradient Editor ตามภาพ สังเกตุที่แถบสี จะมีปุ่มอยู่ด้านบน 2 ปุ่ม ใช้สำหรับกำหนดค่า Opacity (ความทึบของสี) และด้านล่างอีก 2 ปุ่ม ใช้สำหรับกำหนดสีที่ต้องการ 

จุดทั้งสี่่จุดนี้ สามารถเลื่อนไปยังตำแหน่งทีใดที่ต้องการได้ โดยการคลิกและลาก สามารถดูตัวเลขของตำแหน่งได้จากช่อง Location จุดเริ่มต้นของ Location คือ 0 - 100 

การเพิ่มจุดสี ถ้าต้องการเพิ่มจุดสีตรงใหน ก็ให้คลิกเพิ่มในแนวเดียวกับจุดสี เช่นในภาพ ได้เพิ่มจุดสีขึ้นมาอีก 1 จุดตรงกลางของแถบสี 

การลบจุดสี ก็เพียงคลิกและลากออกมานอกกรอบเครื่องมือ หรือจะคลิกแล้วกดปุ่ม Delete ก็ได้ Opacity ก็ทำเช่นเดียวกับการเพิ่ม และลบจุดสี 

photoshop cs6 advanced

การเลือกสีให้กับแต่ละจุด ทำได้โดยการคลิกที่จุดสี และมาคลิกที่ช่อง Color หรือจะดับเบิ้ลคลิกที่จุดสีก็ได้ จะมีหน้าต่าง Color Picker แสดงขึ้นมาเพื่อให้เลือกสี

การตั้งค่า Opacity โดยคลิกที่จุดของ Opacity จะมีตัวเลขแสดงที่ช่อง Opacity และมาตั้งตัวเลขที่ต้องการ จุด Opacity นี้ก็ทำเลื่อนตำแหน่งได้เช่นกัน

การบันทึกค่า Gradient สามารถบันทึกค่าที่ได้ตั้งไว้เพื่อใช้งานในครั้งต่อไป ตามขั้นตอนดังนี้...
พิมพ์ชื่อที่ช่อง Name แล้วกดปุ่ม New ชุดสีของเราก็จะแสดงอยู่ในช่อง Preset สำหรับใช้ในครั้งต่อไป กดปุ่ม OK เพื่อให้เครื่องมือเก็บสีของเราไว้

การจัดชุดสี Gradient เพื่อการเรียกใช้งาน 
โปรแกรมเมนู Edit เลือก Preset เลือก Preset Manager จากนั้นคลิกเลือก Gradient ในช่อง Preset Type จะเห็นสี Gradient แต่ละสีที่เรากำหนดไว้ 

คลิกแต่ละสีที่เราเคยสร้างไว้ก่อนหน้า จะกี่สีก็ได้โดยการกดปุ่ม Ctrl + คลิกสีที่ต้องการ แล้วคลิกปุ่ม Save Set ตั้งชื่อให้กับชุดสีของเรา แล้วกดปุ่ม Save กลับมากดปุ่ม Done ที่หน้าต่าง Preset Manager อีกครั้ง เท่านี้ก็เรียบร้อย ครั้งต่อไปที่เราจะใช้ ก็เพียงคลิกปุ่ม Load ของ Gradient tool ชุดสีนั้นก็จะถูกเรียกขึ้นมาให้เลือกเพื่อการใช้งาน

เทคนิค ขณะที่อยู่ในเครื่องมือ Gradient และต้องการเลือกสีบนภาพมาใช้  สามารถนำเม้าส์เลื่อนออกไปคลิกที่ภาพได้เลย เม้าส์จะกลายเป็นรูปดูดสี จากนั้นำการคลิกสีบนภาพที่ต้องการ แต่ถ้าต้องการสีที่อยู่นอกเขตพื้นที่ทำงานของโปรแกรม ให้กดปุ่มของเม้าส์ด้านซ้ายค้างไว้ แล้วลากออกไป เมื่อไปถึงสีที่ต้องการให้ปล่อยการกดปุ่มเม้าส์


การลด Noise  

Noise คือ จุดมากมายที่แสดงอยู่บนภาพ มักจะเกิดกับภาพที่ตั้งค่า Contrast ไว้สูงมาก เมื่อขยายภาพให้ใหญ่มากๆ จะเห็นสิ่งที่เรียกว่า Noise สามารถแบ่ง Noise ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Luminance noise ซึ่งเกิดจากความสว่าง และ Color noise เกิดจากสี และความอิ่มตัวของสี

เครื่องมือ Reduce Noise เป็นเครื่องมืออันดับแรกที่ใช้สำหรับการลด Noise โดยการเปิดจากโปรแกรมเมนู Filter เลือก Noise เลือก Reduce Noise หน้าต่างเครื่องมือก็จะเปิดขึ้นให้ทำการปรับ ค่า Default ของเครื่องมือจะอยู่ที่โหมด Basic 


ขั้นตอนการปรับค่าเพื่อลด Noise แบ่งได้เป็น 2 ส่วน

  • ขั้นตอนการปรับค่าเพื่อลด Luminance noise  :
    • ลดเปอร์เซ็นต์ของ Reduce Color Noise
    • ลดเปอร์เซ็นต์ของ Sharpen Details
    • ลดเปอร์เซ็นต์ของ Strength ให้สังเกตุว่าถ้าการลด Strength แล้วทำให้ตัวเลขในช่อง Preserve Details หายไป ให้ทำการปรับเพิ่มคา Strength จนตัวเลขในช่อง Preserve Details  กลับมา
photoshop cs6 advanced

  • ขั้นตอนการปรับค่าเพื่อลด Color noise  :
    • เพิ่มเปอร์เซ็นต์ของ Reduce Color Noise โดยปรับลดลงมาให้เป็น 0 ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่ม พร้อมสังเกตุการลดลงของ Color Noise
    • เพิ่มเปอร์เซ็นต์ของ Strength ถ้ารายละเอียดภาพไม่ชัดให้ปรับค่า Preserve Details เพิ่มขึ้น

Advance Mode เป็นการปรับลด Color Noise ให้ลดลงไปอีก โดยทำการปรับให้กับแต่ละสี การปรับให้ปรับเพิ่มค่า Strength 10% กับทุกสี ส่วน Preserve Details ให้สังเกตุจากภาพว่ามีสีอะไรมาก และรองลงมา โดยปรับเปอร์เซ็นต์ให้กับสีที่มากประมาณ 40% รองลง 25% และ น้อยสุด 5% แต่อาจปรับลด หรือ เพิ่มขึ้นได้อีก โดยจะต้องพิจารณาภาพตามไปด้วย

Remove JPEG Artifact ให้คลิกเลือกช่องนี้ก่อนการปรับ ถ้าภาพที่นำมาปรับลด Noise เป็นภาพ JPEG ที่มีการลดขนาดภาพลงมามากๆ

Dust and Scratches กับ Median เครื่องมือสองตัวนี้ใช้สำหรับช่วยในการลด Noise เช่นกัน ต่างกันที่ Median จะไม่มีค่า Threshold ให้ทำการปรับ ส่วนมากจะใช้เสริมจากการปรับด้วยเครื่องมือ Reduce Noise แล้ว การเปิดเครื่องมือ เปิดจากโปรแกรมเมนู Filter เลือก Noise เลือก Dust and Scratches หรือ Median

photoshop cs6 advanced

  • Radius ทำหน้าที่ปรับแต่ง Pixel ที่อยู่ใกล้เคียงภายในขอบของ Radius ให้เป็นรูปทรงกลม
  • Threshold ทำหน้าที่รักษารายละเอียดของภาพในส่วนที่เป็น Low Contrast หรือก็คือลด Noise ในส่วนที่เป็น Low Contrast แต่ถากำหนดไว้มากเกินไป จะทำให้เพิ่ม Noise ในส่วนที่เป็น High Contrast

เครื่องมือใหม่ในการสร้างภาพให้เบลอ 3 New Blur Tools

เครื่องมือใหม่ทั้งสามตัวของโปรแกรม Photoshop CS6 ได้แก่ Field, Iris and Tilt-Shift Blur เป็นสุดยอดของการทำภาพเบลอจริงๆ ครับ เพราะทำได้ง่าย และภาพออกมาดูดีอย่างเหลือเชื่อ การเปิดเครื่องมือของทั้งสามตัว ทำได้โดยโปรแกรมเมนู Filter เลือก Blur ก็จะเห็นทั้งสามตัวอยู่ที่เดียวกัน

วิธีซ่อน หรือขยายแถบ Blur Tools และ แถบ Blur Effects ทำได้โดยการดับเบิ้ลคลิกที่ชื่อ Blur Toos และ Blur Effects

photoshop cs6 advancedField Blur การใส่ความเบลอให้กับภาพเป็นจุดๆ แต่ละจุดสามารถปรับแต่งระดับความเบลอได้ จำนวนจุดนั้นจะใส่กี่จุดก็ได้ เพื่อให้ได้ภาพตามที่ต้องการ เมื่อเปิดเครื่องมือขึ้นมา เครื่องมือจะทำการใส่จุดแรกให้กับภาพนั้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ทั้งภาพเกิดความเบลอ ดังนั้นเราจะต้องใส่จุดเพิ่มเพื่อปรับว่าจุดใหนต้องการให้เบลอ และจุดใหนต้องการให้ชัด เมื่อปรับแต่งได้ตามที่ต้องการแล้ว ให้กดปุ่ม OK

การสร้างจุด เมื่อนำเม้าส์เข้าไปบริเวณภาพ จะเปลี่ยนเป็นรุปหมุด ทำการปลักหมุดลงบนภาพ และเพิ่มจุดได้ตามต้องการ 

การปรับความเบลอ ทำได้โดยการคลิกที่แถบวงกลมด้านนอกของจุด และลากปรับตามแกนหมุนขึ้นบน หรือ ล่าง หรือจะใช้การเลื่อนที่แถบ Blur หรือจะคีย์ตัวเลขที่ช่อง Blur บนแผงเครื่องมือก็ได้

photoshop cs6 advanced


การเคลื่อนย้ายจุด ทำโดยการคลิกแล้วลากไปยังจุดใหม่ที่ต้องการ

การยกเลิกจุด ทำโดยคลิกที่จุด แล้วกดปุ่ม Delete ถ้าต้องการยกเลิกจุดทั้งหมด ให้กดปุ่ม Remove All Pins บนแถบควบคุมเครื่องมือ

การดูภาพก่อนปรับความเบลอ (Preview) โดยการกดปุ่ม Preview บนแถบควบคุมเครื่องมือ หรือกดคีย์ลัด P

การซ่อนจุด ให้กดปุ่ม Ctrl + H ถ้าต้องการยกเลิกการซ่อน กดซ้ำอีกครั้ง ถ้าต้องการซ่อนเพียงชั่วคราว กด H ค้างไว้

การเพิ่มแสง Effects ให้กับภาพ เครื่องมือ Blur ในกลุ่มนี้มีสามารถใช้ Light Bokeh เพื่อเพิ่มแสงให้กับตำแหน่งที่เป็นพื้นผิวของภาพ และ Bokeh Color เป็นการเพิ่มแสงให้กับขอบของภาพ Effect ทั้งสองตัวนี้อยู่ในส่วนของแถบ Blur Effects แสงทั้งสองส่วนนี้จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการตั้งค่ารับแสงของ Light Range

photoshop cs6 advanced


Selection Bleed บนแถบเครื่องมือของ Blur มีลักษณะคล้ายกับการทำ Blur Halo ให้กับขอบของ Selection ยิ่งปรับค่ามากยิ่งมี Blur Halo มาก

Focus บนแถบควบคุมเครื่องมือ คือการปรับเปอร์เซ็นต์การแสดงผลของค่าเบลอที่ตั้งไว้ เช่นตั้งค่าเบลอของจุดที่ 15px ถ้าเปลี่ยนเปอร์เซ็นต์ Focus เหลือเพียง 50% ค่าเบลอที่จุดก็จะเหลือเพียง 7.5px เท่่านั้น

การสร้าง Mask ทำโดยคลิกเลือก Save Mask to Channel บนแถบควบคุมเครื่องมือ


Iris Blur เครื่องมือตัวนี้เป็นการทำภาพเบลอในลักษณคล้ายกับการ Focus ภาพ เมื่อเปิดเครื่องมือก็จะได้ลักษณะดังภาพ ด้านล่าง


photoshop cs6 advanced

การปรับความเบลอ เหมือนกับการปรับ Field Blur โดยการปรับที่จุดตรงกลาง แต่ภาพที่เบลอจะเกิดบริเวณภายนอกเส้นกำหนดขนาดพื้นที่ของเครื่องมือ

การปรับโฟกัส การปรับส่วนที่ต้องการให้ภาพชัด โดยการปรับที่จุดสีขาวซึ่งมีอยู่สี่จุด ตั้งอยู่ถัดจากจุดที่ใช้ปรับความเบลอ ถ้ากดปุ่ม Alt ร่วมด้วยจะสามารถลากเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งเพื่อปรับพื้นที่โฟกัสได้

การปรับขนาดของเส้นกำหนดขนาดพื้นที่ ให้ทำการคลิกจุดบนเส้นกำหนดขนาดพื้นที่ของเครื่องมือ ซึ่งมีทั้งหมดสี่ด้าน ทำการลากเพื่อปรับขนาด และยังสามารถ Rotate กรอบโดยการปรับเลื่อนซ้ายขวา ขึ้นลงได้อีกด้วย

การปรับรูปทรงของเส้นกำหนดขนาดพื้นที่ ทำโดยให้คลิกที่ปุ่มสี่เหลี่ยมซึ่งมีหนึ่งจุด ตั้งอยู่บนเส้นกำหนดขนาดพื้นที่ สามารถปรับรูปทรงจาก ทรงกลมรี เป็นทรงเหลี่ยม


Tilt-Shift เครื่องมือใหม่ตัวที่สามของการทำภาพเบลอ ลักษณะการทำภาพเบลอของตัวนี้จะเป็นแนวยาว เห็นได้จากเมื่อเปิดเครื่องมือขึ้นมา จะมีแนวของการโฟกัสอยู่ระหว่างภายใน เส้นทึบสองเส้น ซึ่งจะเป็นส่วนที่ภาพชัด

ส่วนที่ถูกเบลอ คือส่วนที่เริ่มจากแนวเส้นทึบออกไปจนถึงแนวเส้นประ เรียกว่า Feather  ลักษณะการเบลอจะเริ่มจากน้อยไปถึงเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่เริ่มจากแนวเส้นประออกไป จะเป็นส่วนที่แสดงความเบลอตามค่าที่ตั้งไว้

การขยายแนวโฟกัส ทำโดยคลิกที่จุดบนเส้นทึบซึ่งมีอยู่ทั้งสองด้าน จากนั้นคลิกเพื่อลากเข้า หรือออก เพื่อลด หรือเพิ่มพื้นที่ในส่วนของโฟกัส ซึ่งจะเป็นส่วนที่ภาพชัด จุดนี้สามารถปรับการ Rotate แนวของพื้นที่ได้อีกด้วย

Distortion แถบการปรับค่า Distortion ซึ่งอยู่ถัดจากแถบของการปรับความ Blur ใช้สำหรับปรับการบิดเบือนทิศทางการเบลอ ก่อนใช้แถบนี้ ให้คลิกเลือกที่ช่อง Symmetric Distortion ก่อนแล้วจึงทำการปรับที่แถบ Distortion

photoshop cs6 advanced


เทคนิคเพิ่มเติม ใช้ได้สำหรับการปรับความเบลอทั้ง 3 เครื่องมือ

photoshop cs6 advanced
ภาพปกติ
photoshop cs6 advanced
ภาพแสดง Mask เมื่อกดปุ่ม M
    กดปุ่ม M ค้างไว้ เป็นการสลับไป Mask Mode 

    สามารถใช้ Brush Tool ทาบน Mask รอบขอบของจุดที่มีรัศมีความเบลอเกินมาในส่วนที่ต้องการให้ชัด 

    การใช้ Filter ที่เพิ่งใช้งานก่อนหน้า ให้มีผลกับชิ้นงานอีกครั้ง  ทำได้โดยการกดปุ่ม Ctrl + F แต่ถ้ากดปุ่ม Ctrl + Alt + F จะเป็นการเรียก เครื่องมือ Filter พร้อมคำสั่งที่ตั้งไว้ก่อนหน้า ให้มีผลกับชิ้นงานอีกครั้ง แต่การเรียกครั้งนี้จะสามารถตั้งค่าใหม่จากเครื่องมือที่เปิดขึ้นมาได้

    การปักจุดสร้างความเบลอ สามารถปักได้มากกว่าหนึ่งจุดบนภาพ และทำได้กับทุกเครื่องมือ

    สามารถเรียกใช้เครื่องมือเบลอทั้ง 3 ประเภทพร้อมกัน เพื่อให้เกิดผลรวมกันในภาพเดียวกัน แต่เพื่อความสะดวก ขณะทำงานในเครื่องมือใด ให้ทำการคลิกลูกศรเพื่อขยายแถบเครืองมือนั้น เมื่อขยายแถบเครื่องมือใด จะเห็นเครื่องมือ และการแสดงผลของเครื่องมือนั้น ส่วนตัวอื่นให้คลิกที่ลูกศรเพื่อปิดแถบเครื่องมือไปก่อน

      การปรับแต่งเลเยอร์ด้วย Blend Mode 

      การผสมการปรับแต่งพิเศษต่างๆ ให้กับเลเยอร์ เพื่อให้มีผลกับภาพ และได้ภาพออกมาสวยงาม คุณสมบัติพิเศษนี้มีด้วยกัน 27 ลักษณะ และแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ด้วยกัน การใช้่คีย์ลีดของแต่ละตัวทำได้โดยกดปุ่ม Shift + Alt + ตัวอักษรของแต่ละตัว 

      ขณะอยู่ที่ Blend Mode ตัวใดตัวหนึ่งแล้วต้องการเลื่อนไปยังตัวอื่น ให้กดปุ่ม Shift + plus sign เป็นการเลื่อนแบบเดินหน้า หรือ กดปุ่ม Shift + minus sign  เป็นการเลื่อนแบบถอยหลัง (ขณะที่ทำต้องแน่ใจว่าปุ่ม Blend Mode ไม่ได้ Active เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ Active ให้กดปุ่ม Esc หรือสังเกตุที่ปุ่มของ Blend Mode จะต้องไม่มีแสงสีฟ้าแสดงให้เห็ฯ) 

      Blend Mode จะใช้ได้แค่แบบเดียวกับเลเยอร์เท่านั้น 

      การทำ Blend Mode ให้กับภาพ จะไม่ทำลายภาพ และจะแก้ไข หรือ เปลี่ยนอย่างไรก็ได้ตลอด

      การทำ Blend Mode ให้กับเลเยอร์ ถ้าต้องการให้เลเยอร์นั้นเป็น Smart Object จะต้องทำ Blend Mode หลังจากการทำ Smart Object

      การทำ Blend Mode ให้กับเลเยอร์ถามว่าตัวใหนดีที่สุด ตอบยาก เพราะแต่ละภาพไม่เหมือนกัน ต้องลองเลือกดู ตัวใหนใส่เข้าไปแล้วตรงกับความต้องการของเราที่สุด ก็เลือกตัวนั้น


      กลุ่มทั้ง 6 ของ Blend Mode

      กลุ่มที่ 1 กลุ่มธรรมดาไม่มีคุณสมบัติอะไร ใช้สำหรับคืนค่าเลเยอร์ที่มีการใช้ Blend Mode ตัวใดตัวหนึ่ง

      • Normal ( N ) = โหมดสีปกติ ก่อนการปรับแต่ง
      • Dissolve ( I ) = เปรียบเทียบกับสีสเปร์ยที่พ่นลงบนวัตถุและเกิดขอบของสีที่ฟุ้งกระจาย คงจะนึกออกว่ามีลักษณะอย่างไร

      กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มของ Shadow จะมีผลกับทุกสี ยกเว้นสีขาวจะกลายเป็นโปร่งใส

      • Darken ( K ) = กระทบกับ Pixel ที่มืดที่สุด ทั้งเลเยอร์ตัวเองและ ทุกเลเยอร์ที่มีผลรวมกัน และทุก Channel
      • Multiply ( M ) = เป็นการปรับค่า Luminance (ค่าความสว่าง) แบบ Gradient ส่วนที่เป็นสีเข้มก็จะดำมาก และไล่ลงมา จนถึงสีขาวจะเป็นโปร่งใส
      • Color Burn ( B ) = หลักคือทำการเพิ่ม Saturation (ความอิ่มตัวของสี) ซึ่งทำให้เกิด Contrast ที่สูง พร้อมกับ Noise เช่นกัน
      • Linear Burn ( A )= ตัวนี้เหมือนกับ Color Burn แต่จะมี Saturation ต่ำ นั่นหมายถึง Noise ก็ต่ำตามไปด้วย
      • Darken Color = ตัวนี้จะคล้ายกับ Darken แต่คุณสมบัติมีอยกว่า ไม่ค่อยได้ใช้กันนัก

      กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มของ Lighten (Glow) จะมีผลกับทุกสี ยกเว้นสีดำจะกลายเป็นโปร่งใส การทำงานหลักจะเหมือนกับกลุ่มที่ 2 ต่างกันตรงที่สลับฝั่งเป็น Highlight แทน

      • Lighten ( G ) = ตรงข้ามกับ Darken
      • Screen ( S ) =  ตรงข้ามกับ Multiply
      • Color Dodge ( D )= ตรงข้ามกับ Color Burn
      • Linear Dodge ( W ) = (Add) ตรงข้ามกับ Linear Burn
      • Lighter Color = ตรงข้ามกับ Darken Color

      กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มของ Contrast เป็นกลุ่มที่ใช้ในการทำ Highlight ให้สว่าง และทำ  Shadow ให้มืด หรือก็คือการเพิ่ม Contrast ให้กับภาพ และทำให้ส่วนที่เป็นสีเทาไม่สามารถเห็นได้ Overlay, Hard Light and Linear Light จะให้ความ Contrast ที่ดี่ที่สุด

      • Overlay ( O ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Screen กับ Multiply แต่จะพิจารณาจากเลเยอร์ล่าง ถ้าเลเยอร์ล่างสว่างก็จะทำให้ภาพสว่างขึ้น และถ้าเลเยอร์ล่างมืด หรือ 50% เป็นสีเทา ก็จะทำให้ภาพมืดลง
      • Soft Light ( F ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Screen กับ Multiply คล้ายกับ Overlay แต่ภาพจะดูนุ่มเบากว่า รายละเอียดของภาพจะเห็นได้น้อยกว่า เพราะ Soft Light จะพิจารณาจากเลเยอร์ที่ Active ถ้า Active เลเยอร์สว่างก็จะทำให้ภาพสว่างขึ้น และถ้า Active เลเยอร์มืด หรือ 50% เป็นสีเทา ก็จะทำให้ภาพมืดลง
      • Hard Light ( H ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Screen กับ Multiply 
      • Vivid Light ( V ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Color Dodge กับ Color Burn
      • Linear Light ( J ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Linear Dodge กับ Linear Burn
      • Pint Light ( Z ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Lighten กับ Darken โดยจะพิจารณา Channel by Channel
      • Hard Mix ( L ) = ไม่ผสมกับใคร จะพิจารณา ความสว่าง และ ความมืด Channel by Channel และผสมสีขาว และ ดำ ไว้กับทุก Channel

      กลุ่มที่ 5 คือ กลุ่มของ Inversion / Cancellation 
      Different ( E ) = เป็น Inversion Mode โดยใช้ Active Layer สี่ที่คล้ายกันจะเปลี่ยนเป็นสี่ดำ หรือ เทา
      Exclusion ( X ) = เป็น Inversion Mode โดยใช้ Active Layer สี่ที่คล้ายกันจะเปลี่ยนเป็นสี่ดำ หรือ เทา
      Subtract = เป็น Cancellation Mode
      Divide = เป็น Cancellation Mode


      กลุ่มที่ 6 คือ Component Mode
      Hue ( U ) = เป็นผลที่เกิดจากความต่างของ Luminance และ Saturation 
      Saturation ( T ) =
      Color ( C ) = เป็นส่วนผสมระหว่าง Hue กับ Saturation ทำหน้าที่รักษาสี และกำจัด Luminance กับ Active Layer
      Luminosity ( Y ) = ทำหน้าที่ตรงข้ามกับ Color โดยการเก็บ Luminance สำหรับ Active Layer แต่จะกำจัดสีใช้สำหรับลด Effect ที่เกิดกับขอบของจากการทำ Selection ได้ดีตัวหนึ่ง

      เทคนิค 8 รูปแบบของ Blend Mode ที่ใช้ได้ดี เมื่อร่วมกับการปรับลด Fill Opacity ได้แก่ Color Burn, Linear Burn, Color Dodge, Linear Dodge, Vivid Light, Linear Light, Hard Mix, Differnt ภาพออกมาจะสวยกว่าการใช้ร่วมกับการปรับลดด้วย Opacity รวมถึง Effect ต่างๆ ก็เช่นกัน ใช้ร่วมกับการปรับลดด้วย Fill Opacity จะดีกว่า




      วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

      Photoshop-CS6-intermediate-เทคนิคขั้นกลาง

      การใช้เครื่องมือและเทคนิค ตอน 1


      บทความในขั้นกลางนี้จะเริ่มเน้นการใช้เครื่องมือ และเทคนิคต่างๆ มากขึ้น ถ้าน้องๆ หรือเพื่อนๆ ที่ยังไม่เคยใช้ หรือ รู้จักกับโปรแกรม Photoshop มาก่อน ให้กลับไปอ่านบทความขั้นพื้นฐาน ซึ่งมีด้วยกันสองตอนก่อนนะครับ เพราะบทความนี้จะต่อเนื่องจากขั้นพื้นฐาน




      การปรับแต่งภาพ Retouch and Heal (continue from basic part)

      Patch Tool เป็นเครื่องมือตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Spot and Heling Bursh Tool การทำงานของเครื่องมือนี้จะเป็นการแก้ไขวัตถุบนภาพที่แนบเนียนมากเพราะจะไม่ทิ้งร่อยรอยให้เห็นว่ามีการปรับแต่ง

      วิธีการใช้เครื่องมือ เมื่อเลือกเครื่องมือแล้ว เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นเหมือนกับรูปเครื่องมือ และมีลูกศรอยู่ด้านบน ให้ทำ Selection โดยการลากเส้น Selection ล้อมรอบวัตถุที่ต้องการแก้ไข เช่น ลบ หรือ เพิ่ม แล้วคลิกลากไปยังตำแหน่งใหม่

      อุปกรณ์ของเครื่องมือนี้สองแบบ ลักษณะการทำเหมือนกันแต่ผลที่ได้จะต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของชิ้นงานด้วยว่าต้องการแบบใหน เพราะดีทั้งสองตัว แต่ต้องเลือกให้เหมาะกับการใช้งานนั้นๆ
      แบบที่หนึ่ง เป็นแบบธรรมดา Normal  / แบบที่สอง เป็นแบบ Content-Aware

      photoshop cs6 : path tool

      การแก้ไขโดยใช้เครื่องมือ Patch แบบ Normal มีเทคนิคการทำอยู่สองลักษณะ คือ Source กับ Destination
      Source = เมื่อเรากำหนด Selection แล้ว ให้ลากไปยังจุดที่ต้องการภาพมาทดแทนส่วนที่เราทำ Selection ไว้
      Destination =  ลักษณะเหมือน Source แต่จะเป็นการลากเพื่อนำส่วนที่ทำ Selection ไปวางไว้ที่อื่น เหมือนกับเป็นการเพิ่มสิ่งนั้นลงบนภาพ

      photoshop cs6 : path content aware tool
      การแก้ไขโดยใช้เครื่องมือ Patch แบบ Content-Aware ลักษณะนั้นจะเหมือนกัย Patch แบบ Normal แต่จะสามารถกำหนดคุณสมบัติในการจัดการกับภาพได้อีก 5 แบบ ได้แก่  Very Strict, Strict, Medium, Loose, Very Loose ถามว่าต้องใช้แบบใหน ตอบยากครับ เพราะต้องลองใช้ขณะนั้นว่ากำหนดแบบใหมเหมาะกับชิ้นงานทีเรากำลังทำมากที่สุด



      photoshop cs6 : content aware move tool


      Content-Aware Move Tool เครื่องมือนี้จะคล้ายกับ Patch แบบ Normal ที่เป็นลักษณะ Destination แต่ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว เครื่องมือนี้จะดีกว่า ภาพที่ได้จะออกมาสมจริงกว่า เพราะจะมีการปรับสภาพรอบๆ Selection ให้ใกล้เคียงมากที่สุด พร้อมทั้งยังมีเครื่องมือเสริม นั่นคือ Extend คือการยืด หรือขยายวัตถุนั่นเอง



      photoshop cs6 : content aware scale tool

      Content-Aware Scale Tool ใช้ในกรณีที่ต้องการยืดพื้นที่ของภาพโดยที่ไม่กระทบกับส่วนที่เราได้ทำได้ทำ Selectin คลุมไว้ เครื่องมือนี้จะอยู่ที่โปรแกรมเมนูของ Photoshop เลือกโปรแกรมเมนู Edit เลือก Content-Aware Scale เทคนิคการใช้เครื่องมือนี้ เริ่มแรกจะต้องการเพิ่ม Canvas ให้กับภาพก่อน (การเพิ่ม Canvas หมายถึงการเพิ่มทีว่างให้กับภาพ) จากนั้นต้องทำ Selection และตั้งชื่อให้ Selection สำหรับส่วนที่ไม่ต้องการให้กระทบก่อนที่จะใช้เครื่องมือ แล้วให้เลือก Protect เป็นชื่อ Selection ที่เราตั้งชื่อไว้ เทคนิคอีกอย่างในการใช้เครื่องมือนี้ คือ อย่าทำการยืดพื้นที่ให้เสร็จในครั้งเดียว ให้ทำแบบค่อยๆ ยืดพื้นที่ และทำซ้ำหลายๆ ครั้ง จะได้ภาพที่สมจริงที่สุด


      --------------------------------------------------------------------------------------------------




      --------------------------------------------------------------------------------------------------

      การปรับแต่งภาพโดย Level Adjustment
      เครื่องมือ Level Adjustment ใช้สำหรับปรับ Contrast ของภาพได้ดีเครื่องมือหนึ่ง คีย์ลัดของเครื่องมือนี้ คือ Ctrl + L

      วิธีการปรับทำได้โดย การเลื่อนปุ่ม Shadow (ปุ่มซ้ายมือ) Midtone (ปุ่มกลาง) และ Highlight (ปุ่มขวา) เมื่อเปิดเครื่องมือขึ้น จะแสดงให้เห็นถึงความ Contrast ของภาพที่เราเปิดอยู่ว่าเป็นอย่างไร ทำให้เราสามารถทำการปรับได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่เลื่อนปุ่ม Shadow และ Highlight ให้เข้าใกล้กับจุดเริ่มต้นแต่ละด้านของกร๊าฟ Histogram ให้มากที่สุด สำหรับ Midtone เป็นการปรับเสริมโดยการเลื่อนไปด้านใดด้านหนึ่งให้ได้ภาพที่ดีที่สุด สำหรับมือใหม่ถ้ายังไม่แน่ใจว่าควรปรับเท่าไร ให้ใช้เมนู Auto โดยการคลิกที่ปุ่ม Auto ก็จะได้ภาพที่ Contrast โดยอัตโนมัติ 

      การปรับด้วยเครื่องมือ Level นี้ จะเลือกการปรับที่สีรวมของภาพ (RGB) หรือจะเลือกปรับจากแต่ละสี Red Green Blue ก็ได้ โดยการคลิกช่อง RGB ที่เห็น รายการก็เลื่อนลงมาให้เราเลือก 

      Output Level เป็นเครื่องมือเสริมของ Level Adjustment หน้าที่ของตัวนี้ทำได้หลายอย่าง เช่น ช่วยลด Saturate (ความอิ่มตัวของสี) ของภาพ หรือ ลดความเบลอก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องใช้หลังจากการปรับด้วยเครื่องมือหลักแล้ว (ผู้ใช้เครื่องมือนี้ต้องมีความชำนาญในการแต่งภาพพอสมควร)

      photoshop cs6 : level adjustment tool

       เท่านี้ยังไม่พอครับ ถ้ากดปุ่ม Alt แล้วคลิกที่ปุ่ม Auto จะได้หน้าต่าง Auto Color Correction Options เพิ่มมาให้เราเลือกอีก 4 รายการ แต่ละรายการก็จะเหมาะกับภาพที่ต้องการ Contrast แต่ละแบบ ลองฝึกใช้ดูครับ

      photoshop cs6 : auto color correction option tool




      การปรับความคมชัดของภาพ Sharpening Filter

      เครื่องมือที่ใช้ในการปรับความคมชัดของภาพมีอยู่ด้วยกันหลายเครื่องมือ จะแนะนำไปเรื่อยๆ ที่ละตัว

      Smart Sharpen เครื่องมือแรกที่จะแนะนำนี้ เป็นเครื่องมือปรับความชัดของภาพ โดยเปิดจากโปรแกรมเมนู Filter เลือก Sharpen เลือก Smart Sharpen จะได้หน้าต่างเครื่องมือดังภาพ (ก่อนใช้เครื่องมือต้องทำให้เลเยอร์นั้นเป็น Smart Filter ก่อน โดยการเลือกโปรแกรมเมนู Filter เลือก Smart Filter)

      Default ของโปรแกรม จะตั้งเป็น Basic และค่าต่างๆ ก็ตามที่เห็นในภาพ วิธีเช็คว่าค่า Default นี้ปรับแล้วภาพคมชัดขึ้นหรือไม่ สามารถทำได้สองแบบ โดยการนำเครื่องหมายในช่อง Preview ออก ก็จะเห็นภาพก่อนการปรับที่จอภาพ หรือคลิกค้างไว้ที่ภาพในกรอบของเครื่องมือ ก็จะได้เห็นภาพก่อนการปรับเช่นกัน

      การตั้งค่า :
      Amount เป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์การปรับความคมชัด ซึ่งปรับได้ตั้งแต่ 1 - 500% การตั้งค่าควรตั้งให้สูง ไว้ก่อน ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิด Noise (จุดสี) มากแค่ใหน ขอให้ดูแล้วภาพนั้นยังคงรายละเอียดของภาพไว้ได้ก็พอ จากนั้นค่อยปรับลด Noise โดยการคลิกสัญญลักษณ์ของ Smart Filter บนเลเยอร์ และปรับค่า Blending Option (Smart Sharpen) ให้เป็น Luminosity และ Opacity ที่เหมาะสม


      Radius ภาพที่ปรับ Amount สูง จะเกิดการเติมสีให้กับภาพ เรียกว่ารัศมี (Halo) จึงต้องใช้ Radius เป็นตัวช่วยลด

      Remove ใช้สำหรับการลบความเบลอของภาพ ที่เกิดจากการเบลอแต่ละประเภท ได้แก่ Gaussian, Len, และ Motion Blur (Gaussian มักเกิดจากการแสกนภาพ และภาพที่มีการปรับแต่ง, Len blur กับ Motion blur เกิดจากการปรับเลนส์ และความสั่นของกล้อง สิ่งสำคัญ ถ้าทำการลบความเบลอแบบ Motion blur อย่าลืมปรับองศา หรือทิศทางที่เกิดความเบลอให้ตรงกับทิศทางของ Motion blur ด้วย)

      More Accurate คือการเพิ่ม Noise หรือเม็ดสีให้กับภาพเพื่อเพิ่มความคมชัดมากขึ้น การทำลักษณะนี้จะเหมาะกับภาพที่ต้องการเพิ่มความคมชัดให้กับภาพที่มีรายละเอียดของภาพมากๆ เช่นลายของหนังสัตว์

      photoshop cs6 : smart sharpen tool

      การบันทึกการตั้งค่าเครื่องมือ Smart Sharpen สามารถบันทึกค่าที่เราปรับเองได้ โดยการคลิกไอคอน Save บนเครื่องมือ แล้วทำการตั้งชือ รายการที่บันทึกไว้ก็จะรวมอยู่ในรายการ Setting

      การลบการตั้งค่า เลือกรายการในช่อง Setting แล้วคลิกทีไอคอนถัง

      เทคนิค * ถ้าต้องการใช้ภาพที่ปรับความคมชัดนี้เพื่อการพิมพ์ หลังจากที่ปรับค่า Amount และ Radius ได้แล้ว ให้เพิ่มตัวเลขขึ้น Amount ขึ้นอีก 50% และ Radius อีกสามเท่า 


      Sharpening with the Emboss filter  เครื่องมือเพิ่มความคมชัดของภาพ และลดความเบลอซึ่งเกิดจากการสั่นของกล้อง เปิดใช้เครื่องมือโดย โปรแกรมเมนู เลือก Filter เลือก Stylize เลือก Emboss จะได้หน้าต่างเครื่องมือดังภาพ ปรับค่า Angle ให้ตรงกับทิศทางของการสั่นของกล้อง, Amount ปรับเปอร์เซ็นต์ให้สูงไว้ก่อน จากนั้นค่อยปรับลดโดยการคลิกสัญญลักษณ์ของ Smart Filter บนเลเยอร์ และปรับค่า Blending Option (Emboss Filter) ให้เป็น Linear Light และ Opacity ที่เหมาะสม

      photoshop cs6 : emboss filter tool


      Sharpening with High Pass filter โปรแกรมเมนูเลือก Filter เลือก Other เลือก High Pass ลักษณะการปรับความคมชัดของเครื่องมือนี้ คือ โปรแกรมจะใส่สีเทาลงไปในทุกส่วนที่เป็นขอบของภาพ เหมาะสำหรับภาพที่มีการเบลอประเภท Gaussian Blur

      การปรับค่า Radius ตั้งไว้ประมาณ 1.5 Pixels จากนั้นค่อยปรับลดโดยการคลิกสัญญลักษณ์ของ Smart Filter บนเลเยอร์ และปรับค่า Blending Option (High Pass) ให้เป็น Linear Light และ Opacity ที่เหมาะสม

      photoshop cs6 : high pass filter tool


      Sharpen Tool เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่อยู่ในแถบเครื่องมือของโปรแกรม Photoshop ใช้สำหรับเพิ่มความคมชัดของภาพ




      วิธีการใช้เครื่องมือ ทำโดยเมื่อเลือกเครื่องมือแล้ว ให้ทำการทาลงไปบนส่วนของวัตถุ หรือ ส่วนของภาพที่ต้องการให้เกิดความคมชัดเพิ่มขึ้น การใช้เครื่องมือนี้ ส่วนมากจะเป็นลักษณะที่ต้องการเพิ่มให้กับบางส่วนของภาพเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งสำคัญ ต้องสร้างเลเยอร์ใหม่ขึ้นมาก่อนเพื่อเก็บสิ่งที่เราทาไว้ในเลเยอร์นี้ (เพื่อป้องกันการทำลายภาพ Non Destructive) และคลิกเลือก Sample All Layers ที่แถบควบคุมเครื่องมือเพื่อจะได้สามารถทาได้กับทุกเลเยอร์ ส่วนการเลือก Protect Detail เป็นการบอกให้เครื่องมือรักษารายละเอียดของภาพไว้ด้วย เพราะการเพิ่มความชัดด้วยเครื่องมือนี้ รายละเอียดของภาพอาจลดลงได้ ขั้นตอนสุดท้ายปรับ Blend Mode ของเลเยอร์นั้น ให้เป็น Luminosity




      การสร้างตัวหนังสือ Creating and Formatting Text

      เครื่องมือนี้อยู่ในแถบเครื่องมือของโปรแกรม Photoshop CS6 คีย์ลัดของเครื่องมือนี้ คือ T พร้อมทั้งมีแถบควบคุมเครื่องมือเพื่อตั้งค่าต่างๆ ได้มากมาย เริ่มจากซ้ายสุด คือ การตั้ง Font Family หรือ ประเภทของตัวหนังสือ ถัดไปก็เป็นแบบตัวหนังสือ, ขนาดตัวหนังสือ ช่องถัดไปใช้สำหรับเลือกการปรับชนิดของขอบตัวหนังสือ ถัดไปก็เป็นการจัด Paragraph, สีตัวหนังสือ, ที่เห็นเป็นไอคอนตัว T และเส้นโค้งอยู่ด้านล่าง (Create Warped Text) ก็คือการใส่ลักษณะการบิดต่างๆ ให้กับตัวหนังสือ, ไอคอนสุดท้ายคือ การเปิด Character and Paragraph Panels เพื่อเพิ่มเทคนิคการแต่งตัวหนังสือ


      เทคนิค การจัด Paragraph มีคีย์ลัดให้เราใช้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้
      • Ctrl + R = การจัด Paragraph ให้อยู่ชิดด้านขวา
      • Ctrl + C = การจัด Paragraph ให้อยู่ตรงกลาง
      • Ctrl + V = การจัด Paragraph ให้อยู่ชิดด้านซ้าย
      เทคนิคการเพิ่มขนาดตัวหนังสือ ให้คลุมเลือกที่ตังหนังสือ
      • กดปุ่ม Ctrl + Shift + กดปุ่ม . (period) แต่ละครั้งจะเป็นการเพิ่มขนาด 2 point
      • กดปุ่ม Ctrl + Shift + กดปุ่ม , (comma) แต่ละครั้งจะเป็นการลดขนาด 2 point
      • ถ้าต้องการเพิ่ม หรือ ลดขนาด ครั้งละ 10 point ให้เติมปุ่ม Alt เข้าไปด้วย
      • ถ้ามีการเพิ่มขนาดภาพ ขนาดตัวหนังสือที่อยู่บนภาพ จะเพิ่มขนาดโดยอัตโนมัติ
      เทคนิคการเลือกตัวหนังสือ 


      • คลิกหนึ่งครั้งเป็นการเลือกตัวหนังสือตัวเดียว
      • คลิกสองครั้งเป็นการเลือกตัวหนังสือคำเดียวที่ติดกันในประโยค
      • คลิกสามครั้งเป็นการเลือกตัวหนังสือทุกคำที่ไม่ติดกัน หรือ ทั้งประโยค หรือ ทำได้โดยการ กดปุ่ม Ctrl + A เมื่อเม้าส์คลิกอยู่ที่แถบตัวหนังสือก็ได้เช่นกัน
      • ซ่อนแถบแสงที่คลุมตังหนังสือเมื่อทำการเลือก เพื่อให้เห็นตัวหนังสือได้ชัดเจน โดยการกดปุ่ม Ctrl + H
      เทคนิคการเปลี่ยนสีตัวหนังสือ 


      • ให้คลิกที่ช่องสีบนแถบควบคุมเครื่องมือ จะปรากฏหน้าต่าง Color Picker ขึ้นมาให้เลือก 
      • หรือถ้าจะไม่เลือกสีใน Color Picker และต้องการเลือกจากสีที่อยู่ในภาพแทน ให้เลื่อนเม้าส์มาที่ภาพ (ขณะที่หน้าต่าง Color Picker เปิดอยู่) เม้าส์จะเปลี่ยนเป็นรูปหลอดดูดสี ทำการคลิกตำแหน่งที่ต้องการเลือกสี 
      • อีกเทคนิคหนึ่งคือ การกดปุ่ม Alt + Backspace จะเป็นการนำสี Foreground มาแทนที่สีเดิมของตัวหนังสือ

      การสร้าง Point Text เมื่อเลือกเครื่องมือ T แล้ว ให้คลิกลงบนจุดที่เราต้องการพิมพ์ จุดที่เห็นนี่คือการสร้าง Point Text นั่นเอง เมื่อคลิกแล้วเลเยอร์ตัวหนังสือก็จะสร้างขึ้นมาให้โดยอัตโนมัติ ชื่อของเลเยอร์ตัวหน้งสือ จะตั้งให้เองโดยใช้ข้อความที่เราพิมพ์มาเป็นชื่อ ทั้งนี้เพื่อให้รู้ว่าข้อความใดอยู่ในเลเยอร์ใหน

      การยอมรับตัวหนังสือ หมายถึงเวลาที่เราพิมพ์เสร็จแล้ว ให้เรากด Enter (Desktop ใช้ปุ่ม Enter ที่ตั้งรวมอยู่กับแป้นปุ่มตัวเลขของคีย์บอร์ด เพราะถ้าใช้ Enter ในส่วนอื่นจะเป็นการขึ้นบรรทัดใหม่  สำหรับ Notebook ให้กดปุ่ม Ctrl + Enter) หรือ ใช้วิธีกดที่เครื่องหมายถูกบนแถบควบคุมเครื่องมือตัวหนังสือ

      การแก้ไขตัวหนังสือ คลิกที่แถบตัวหนังสือและเลือกแก้ไข ดับเบิ้ลคลิกที่ตัวหนังสือ หรือ ที่รูปตัว T บนเลเยอร์ตัวหนังสือ จะเป็นการเลือกทั้งประโยค สามารถพิมพ์ข้อความใหม่ได้ทั้งหมด
      • ถ้าต้องการลบให้ใช้ปุ่ม Del หรือ Backspace 
      • ถ้าต้องการเพิ่มตัวหนังสือก็พิมพ์เพิ่มได้เลย
      • ถ้าต้องการเปลี่ยนสี เปลี่ยนรูปแบบตัวหนังสือ หรือเปลี่ยนอะไรก็ตามที่เป็นการแก้ไขทั้งข้อความ ให้คลุมตัวหนังสือนั้นก่อน แล้วเลือกสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยน
      • ถ้าเปลี่ยนใจต้องการยกเลิกการแก้ไข ให้กดปุ่ม Esc
      • ถ้าต้องการเปลี่ยนตำแหน่งตัวหนังสือ ให้กดปุ่ม Ctrl + คลิกที่ตัวหนังสือโดยตรง หรือ ใช้เครื่องมือ Move Tool คีย์ลัด V คลิกที่เลเยอร์ตัวหนังสือ แล้วนำเม้าส์ไปคลิกลากที่ตัวหนังสือ เพื่อลากไปยังตำแหน่งที่ต้องการก็ได้เช่นกัน
      การปรับแต่งตัวหนังสือ Kerning and Tracking Characters โดยใช้เครื่องมือ Character Panel และ Paragraph Panel คีย์ลัดคือ Ctrl + T 

      photoshop cs6 : character and paragraph tool
      Character Panel การใช้เครื่องมือ โดยเรียงจากซ้ายไปขวาทีละบรรทัด :


      • ประเภทตัวหนังสือ
      • แบบตัวหนังสือ
      • ความสูงของตัวหนังสือ ถ้าต้องการเฉพาะตัวหนังสือตัวเดียว ให้คลุมที่ตัวหนังสือตัวนั้น (คีย์ลัด Shift + Up or Down arrow)
      • ระดับความสูงแต่ละบรรทัด (คีย์ลัด Alt + Up or Down arrow ถ้าต้องการเปลี่ยนครั้งละมากๆ ให้เพิ่มปุ่ม Ctrl )
      • ช่องไฟของตัวหนังสือในประโยค...ถ้าปรับแต่งโดยการเลือกเฉพาะเจาะจงตัวหนังสือ ให้คลิกที่หน้าตัวหนังสือที่ต้องการปรับก่อน...ถ้าต้องการปรับทั้งคำ หรือ ประโยค ให้เลือกตัวหนังสือทั้งหมดก่อนทำการปรับ (ตัวเลือก Optical ในการปรับช่องไฟ เป็นการสั่งให้โปรแกรมช่วยจัดให้ดีขึ้นอีก หลังจากที่เราปรับ)
      • ความกว้างของตัวหนังสือ (ถ้าต้องการเฉพาะตัวหนังสือ ให้คลุมที่ตัวหนังสือนั้น)
      • ปรับระดับตัวหนังสือในคำ หรือในประโยค ให้สูง หรือ ต่ำกว่า ในแนวเดียวกัน สามารถใช้ได้กับ ตัวหนังสือบนเส้น Path เช่นกัน (คีย์ลัด Shift + Alt + Up or Down arrow)

      เทคนิค ถ้าต้องการเปลี่ยน Point Text ให้เป็น Paragraph Text ทำโดยคลิกที่เลเยอร์ของ Point Text ใช้โปรแกรมเมนู Type เลือก Convert to Paragraph Tex


      การสร้าง Area Text (Paragraph Text) คือการกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการพิมพ์ตัวหนังสือ  เมื่อเลือกเครื่องมือ T แล้ว ให้ทำการคลิกลากเส้นขอบเขตพื้นที่ที่จะทำการพิมพ์
      photoshop cs6 : area or paragraph text


      การสร้างตัวหนังสือภายในเส้น Path
      ขั้นแรกต้องสร้างเส้น Path ขึ้นมาก่อน จะสร้างจากเครื่องมือใดก็ได้ จากนั้นเลือกเครื่องมือ T คลิกเม้าส์ให้อยู่ภายในขอบเขตของเส้น Path คลิก แล้วทำการพิมพ์ข้อความที่ต้องการ เลือกรูปแบบ Paragraph ว่าจะให้แสดงแบบใหน เช่น ชิดซ้าย กึ่งกลาง หรือ ด้านขวา Paragraph นั้นก็จะจัดรูปแบบ และแนบชิดกับของของเส้น Path ตามที่กำหนด

      T = เครื่องมือ Type
      photoshop cs6 : text on path
      การสร้างตัวหนังสือบนทางเส้น Path
      วิธีนี้เป็นการพิมพ์ตัวหนังสือให้อยู่บนทางของเส้น Path ที่เราสร้างไว้ ไม่ว่ารูปทรงของ Path ที่เราสร้างไว้จะเป็นรูปอะไร ตัวหนังสือก็จะวางอยู่ตามทางเส้น Path นั้น

      วิธีทำ เมื่อสร้างเส้น Path เสร็จแล้ว เลือกเครื่องมือ T คลิกเม้าส์บนกึ่งกลางของเส้น Path เริ่มพิมพ์ข้อความที่ต้องการ เสร็จแล้ว Enter ขณะที่พิมพ์จะเห็นปลายด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมาย x นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ และอีกด้านเป็นวงกลม นั่นคือจุดสิ้นสุดการพิพม์ ถ้าต้องการเลื่อนตัวหนังสือบนเส้น Path ให้กดปุ่ม Ctrl แล้วคลิกที่เครื่องหมาย x แล้วลากเลื่อนไปตามแนวตำแหน่งของเส้น Path


      การสร้าง Paragraph Style วิธีเปิดใช้เครื่องมือ คือ โปรแกรมเมนู เลือก Type เลือก Panel เลือก Paragraph Style Panel จะได้กรอบเครื่องมือตามภาพ

      • ถ้าต้องการให้ Style ที่สร้างไว้ใน Paragraph Text เก็บไว้เป็น Paragraph Style Panel ทำโดยคลิกเลือก Paragraph Text ที่สร้างไว้ เปิดเครื่องมือ Paragraph Style Panel คลิกไอคอน Create New Paragraph Style ซี่งอยู่ข้างรูปถัง จะได้แถบชื่อ Paragraph Style 1 ดับเบิ้ลคลิกเพื่อตั้งชื่อ 
      • ถ้าต้องการใช้ Paragraph Style กับ Paragraph Text อื่นๆ ทำโดยคลิกที่เลเยอร์ Paragraph Text ที่ต้องการใช้ Paragraph Style ที่สร้างไว้ เปิดเครื่องมือ Paragraph Style Panel คลิกที่ Style ที่สร้างไว้ กดปุ่ม Clear Override แค่นี้ Paragraph Text ก็จะเปลี่ยนไปตาม Paragraph Style ที่เราเลือก
      • ถ้าต้องการสร้าง Paragraph Style เพื่อมาใช้กับ Paragraph Text ทำโดยเปิดเครื่องมือ Paragraph Style Panel คลิกที่ไอคอน Create New Paragraph Style  ดับเบิ้ลคลิกที่แถบ Paragraph Style 1 ทำการตั้งค่า และตั้งชื่อให้กับ Style นั้น
      • ถ้าต้องการแก้ไข Style ของ Paragraph Text นั้นๆ ทำโดยคลิกเลือกที่ Paragraph Text ที่จะแก้ไข แก้ไขการตั้งค่าบนแถบควบคุมเครื่องมือของ Text ให้สังเกตุชื่อ Style ในเครื่องมือ Paragraph Style จะมีเครื่องหมาย +   (หมายถึงมีการ Override) คราวนี้ให้กดเครื่องหมายถูก หรือ Redefine Paragraph Style แทน
      photoshop cs6 : character and paragraph style panel

      photoshop cs6 : paragraph style option


      การสร้าง Character Style เหมือนกับการการสร้าง Paragraph Style ทุกอย่าง ต่างกันนตรงที่ทำในรูปของ Point Text

      photoshop cs6 : character style option


      การใช้รูปแบบในการปรับแต่งตัวหนังสือให้สวยงาม Applying and Creating Text Style

      โปรแกรม Photoshop CS6 เมื่อเราสร้าง Style ของตัวหนังสือ หรือภาพ สามารถบันทึกเก็บไว้ใน Style Panel และถ้าต้องการใช้ก็เพียงคลิกที่ Style นั้น เช่น ถ้าต้องการให้ Style ที่ได้สร้างไว้กับตัวหนังสือ ให้คลิกที่ Text Layer นั้น แล้วคลิกที่ Style ที่ต้องการ... วิธีเปิดใช้ Style Panel ทำโดยโปรแกรมเมนู Window เลือก Style


      การสร้างรูปทรง Drawing Shapes

      เครื่องมือสร้างรูปทรง Shape Tools มีอยู่ด้วยกัน 6 แบบ ได้แก่ Rectangle, Rounded Rectangle, Ellipse, Polygon, Line และ Custom Shape Tool เริ่มต้นให้คลิกเลือกเครื่องมือแต่ละแบบบนแถบเครื่องมือ แล้วทำการลากลงรูปทรงนั้นลงบนภาพ หรือพื้นที่ที่ต้องการ

      รูปทรงแต่ละรูปแบบสามารถเติมสี Fill และ เส้นขอบ Stroke ได้ โดยการเลือกกำหนดจากแถบควบคุมเครื่องมือของแต่ละแบบ รวมทั้งยังสามารถกำหนดขนาด และ รูปร่างของเส้นขอบได้ด้วย 




      Rectangle Tool รูปทรงจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า

      photoshop cs6 : shape tool
      Rounded Rectangle Tool รูปทรงจะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่มุมทั้งสี่ด้านจะมน

      photoshop cs6 : shape tool


      Ellipse Tool รูปทรงจะเป็นทรงรี

      photoshop cs6 : shape tool
       Polygon Tool รูปทรงจะเป็นห้าสี่เหลี่ยม

      photoshop cs6 : shape tool
      Line Tool รูปทรงจะเส้นตรง

      photoshop cs6 : shape tool
       Custom Shape Tool รูปทรงจะเป็นอิสระ



      เทคนิค ควรคลิกเลือก Align Edges ทุกครั้ง 


      การเพิ่มรูปทรงในเลเยอร์เดียวกัน ให้คลิกเลือกไอคอน Path Operation เลือก Combine Shape ทำการลากรูปทรงเพิ่มเติม หรือจะใช้วิธีกดปุ่ม Shift ก็ได้

      การคัดลอกรูปทรง คลิกที่รูปทรงที่สร้างไว้ กดปุ่ม Ctrl + Alt จะเห็นเม้าส์มีเครื่องหมายบวก แล้วลากออกมาวางไว้ยังส่วนที่ต้องการ

      การจัดเรียงรูปทรง ถ้ารูปทรงเหล่านั้นอยู่ในเเลเยอร์เดียวกันทั้งหมด เลือกเครื่องมือ Patch Selection Tool ทำการลากให้ครอบคลุมทุกรุปทรง เสร็จแล้วให้เลือกเมนู Path Alignment บนแถบเครื่องมือ Shape Tool แล้วเลือก Align to Selection เลือกการจัดตำแหน่งรูปทรงที่ต้องการจัดเรียง

      การสร้างรูปดาวจาก Polygon Tool เมื่อเลือกเครื่องมือแล้ว ให้คลิกไอคอนรูปเฟืองที่แถบควบคุมเครื่งอมือ คลิกเลือกคำเป็น Star เมื่อลากรูปทรงก็จะได้รูปดาว

      การบันทึกรูปทรง สร้างรูปทรงที่ต้องการ แล้วใช้โปรแกรมเมนู เลือก Edit เลือก Define Custom Shape ทำการตั้งชื่อ ก็จะได้รูปทรงเก็บไว้ใช้ รูปทรงที่เก็บจะถูกเก็บไว้ที่ส่วนของเครื่องมือ Custom Shape Tool
      เมื่อคลิกที่ลูกศรของ Shape บนแถบเครื่องมือ รายการรูปทรงต่างๆ ก็จะเปิดออกมาให้เลือก พร้อมทั้งรูปทรงที่เราได้สร้างด้วย

      การสร้างเส้นขอบ Stroke แบบเส้นประหรือจุด Dashed or Dotted Border 
      ให้เลือกไอคอน Set Shape Stroke Type บนแถบควบคุมเครื่องมือ เมื่อคลิกแล้วจะมีรูปแบบต่างๆ ให้เลือก หรือจะสร้างขึ้นใหม่ พร้อมทั้งบันทึกการปรับแต่งไว้ด้วยก็ได้ โดยการคลิกปุ่ม More Option จะได้หน้าต่าง Stroke ดังภาพที่สองให้ทำการตั้งค่าเส้น Stoke ในส่วนของ Dash ขนาดความยาว และ Gap ขนาดของช่องว่างแต่ละ Dash (การตั้งค่า Dash = 0 คือ รูปทรงกลม)


      photoshop cs6 : stroke style

      photoshop cs6 : stroke setting


      Path Operation บนแถบควบคุมเครื่องมือ คือ การเพิ่ม การรวม การหักลบ การไม่รวมส่วนที่ตัดกัน การเลือกเฉพาะส่วนที่ตัดกัน เหมือนกับการทำ Selection , สำหรับ Merge Shape Component เป็นการรวมหลาย Path  บนเลเยอร์เดียวกันให้เป็น Path เดียว

      เทคนิค กดปุ่มเครื่องหมาย Bracket [  หรือ  ] ขณะที่อยู่ในเครื่องมือ Shape Tool กดแต่ละครั้ง จะเป็นการเพิ่ม Sides (เหลี่ยม) ของเครื่องมือ Polygon / ดับเบิ้ลคลิกที่ Layer Shape เป็นการเรียกหน้าต่าง Color Piker